welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เมื่อวานเตี่ยไปรับผมที่โรงเรียน



     เมื่อวานเตี่ยไปรับผมที่โรงเรียน เตี่ยอาจไม่ตั้งใจก็ได้ เตี่ยอาจแค่ผ่านไปแถวนั้นตอนที่ผมเลิกเรียนพอดี ตามปกติผมเดินไปกลับระหว่างโรงเรียนและบ้านที่อยู่หลังตลาดของเราได้อยู่แล้ว แต่นั่นแหละ ผมเลยได้ซ้อนท้ายจักรยานของเตี่ยกลับบ้าน

     เตี่ยผมพูดไม่ชัด ชอบพูดเสียงดังและออกท่าทางเวลาพูดเสมอ แล้วยังชอบพูดมากพร้อมกับหัวเราะเสียงดังไปด้วย เตี่ยผมไม่มีอะไรที่เหมือนฅนไทยเลย ทั้งกิริยาท่าทาง แม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เตี่ยใส่ เตี่ยชอบใส่แต่ผ้าเก่าๆ ขาดๆ กางเกงขาก๊วยตัวโปรดของเตี่ยนั้นเก่าขาดจนปะแล้วปะอีก เตี่ยไม่มีอะไรที่เหมือนฅนไทยเลยจริงๆ ผมเคยคิดเหมือนกันนะว่าทำไมเตี่ยจึงไม่เหมือนฅนไทย

     เมื่อวานเตี่ยไปรับผมที่โรงเรียน ผมรู้ว่าวันนี้ผมต้องถูกเพื่อนๆ ล้อแน่นอน ‘ลูกตาแป๊ะตูกขาก’

     ปกติก็มีบ้างที่ผมจะโดนล้อ แต่วันนี้พวกเขาจะพร้อมใจกันล้อ มันจะกลายเป็นเรื่องสนุกของเด็กพวกนั้น แต่ผมไม่สนใจมันแล้ว ผมแค่คิดว่าผมต้องโดนล้อเท่านั้น

     ‘ทำไมเตี่ยถึงชอบใส่แต่ผ้าเก่าๆ ขาดๆ ‘
เป็นเพราะเมื่อวานเตี่ยไปรับผมที่โรงเรียน ผมเลยได้คุยกับแม่เรื่องนี้…

     ‘เพราะเตี่ยแกไม่เคยลืมน่ะสิ’ แม่ตอบพลางมองหน้าผม แม่บอกว่าเตี่ยไม่เคยลืมว่ามาจากไหน เตี่ยจากที่นั่นมาเพราะถูกความแร้นแค้นบีบบังคับ ที่นั่นมีแผ่นดินสีแดงที่ไม่อาจเพาะปลูกอะไรได้ ฅนที่นั่นต้องแย่งกันกินแย่งกันอยู่ แม่บอกว่าบางที่ผมอาจจะนึกไม่ออกหรอก ว่าเตี่ยได้รับความลำบากขนาดไหนถึงต้องทิ้งแผ่นดินบรรพบุรุษมา เตี่ยเคยนอนหนาวโดยไม่มีแม้แต่ผ้าห่มสักผืน มีเสื้อผ้าติดตัวเพียงชุดเดียว และมันทั้งเก่าทั้งขาด นั่นเป็นสิ่งที่เตี่ยไม่เคยลืม

     ปากท้องของเราสำคัญที่สุด แม่บอกแบบนั้น ถึงอย่างไรเตี่ยก็ไม่เคยให้เราอด เตี่ยรู้ดีถึงความโหดร้ายของความอดอยาก เตี่ยจึงไม่เคยปล่อยให้เราอด ผมรู้ว่าแม่พูดถูก ถึงเตี่ยจะขี้เหนียวอย่างที่ฅนไทยว่า แต่เตี่ยก็ไม่เคยปล่อยให้เราอด

     เมื่อวานเตี่ยไปรับผมที่โรงเรียน จึงไม่ต้องแปลกใจที่วันนี้ผมจะโดนล้อ แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมรู้ว่าความไม่สนใจของผมต้องทำให้พวกนั้นหมดสนุกไม่น้อยเลย ไอ้ชัย ไอ้บัติ ไอ้ยศ พวกมันทำหน้าเซ็งและเลิกสนใจผมไปเอง ผมรู้ว่าพวกมันอาจไม่ชอบใจนักหรอกที่การล้อเตี่ยของผมวันนี้ไม่สนุก แต่ผมไม่สนใจ

     เมื่อถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิการะฆังเพลก็ดังตรงเวลาทุกวัน เด็กๆ ออกมาหยิบปิ่นโตบนโต๊ะหน้าห้องเรียนเพื่อล้อมวงกินข้าวกัน ปิ่นโตของผมมันเป็นปิ่นโตจริงๆ ผมหมายถึงว่ามันดูใหญ่โตสมชื่อนั่นแหละ และมันก็เก่าจนสีทีเคลือบกะเทาะเป็นแห่งๆ ด้วย ผมเคยอายและแอบอิจฉาเพื่อนๆ ที่มีปิ่นโตใหม่ใบเล็กๆ น่ารักสมกับเด็ก มันดูดีกว่าปิ่นโตของผมที่ทั้งเก่าและดูเทอะทะมากทีเดียว ใช่ ผมเคยอายเรื่องปิ่นโต เหมือนที่เคยอายเรื่องกางเกงเก่าๆ ของเตี่ยนั่นแหละ แต่ผมรู้แล้วว่านั่นไม่สำคัญหรอก ผมยิ้มเมื่อเอาปิ่นโตออกมาขณะที่พวกเรานั่งล้อมวงกินข้าวกัน ปิ่นโตของผมไม่เพียงแต่ใหญ่โตกว่าฅนอื่นเท่านั้น แต่มันยังมีกับข้าวอร่อยๆ มากกว่าฅนอื่นด้วยเช่นกัน.

ภาพประกอบ: pixabay.com

วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: แผ่นดินของเรา


          สายลมวูบหนึ่งที่โชยพัดมานั้น ดูจะช่วยบรรเทาความร้อนจากไอแดดที่เหมือนจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ลงได้บ้าง ตอซังข้าวโพดเหี่ยวแห้งทอดแนวคลุมพื้นที่แถบชายเขาด้านหนึ่ง กับร่องรอยที่บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการเก็บเกี่ยวไปได้ไม่นาน ครอบครัวของไอ้หยับคงจะเข้ามาตัดมันในช่วงที่ผมไม่ได้เข้ามาที่นี่เมื่อสักสี่ห้าวันก่อน นั่นหมายความว่า ครอบครัวของมันจะไม่ได้เข้ามาที่นี่อีกแล้ว หลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้นสิ้นสุดลง
          อดใจหายไม่ได้ขณะแหงนมองภูเขาหินปูนซึ่งแทรกตัวตะหง่านขึ้นมาท่ามกลางพื้นที่แห้งแล้ง ร่องรอยถนนที่เพิ่งตัดผ่านขึ้นไปตามแนวเขานั้นสะกิดใจให้เจ็บแปลบทุกครั้งที่ได้เห็นมัน
          สายลมพัดผ่านยอดมันสำปะหลังพลิ้วไหวเมื่อผมหันหลังเดินกลับออกมา ราคามันเส้นช่วงนี้ยังไม่ดีนัก หากรออีกสักหน่อยน่าจะได้ราคาที่ดีกว่านี้ แต่ผมคงต้องรีบถอนมาสับขายกันแล้ว ซึ่งก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้เลย เพราะพวกเขาดูเหมือนจะเร่งเร้าให้เรารีบทำเช่นนั้นกันอยู่
          ไม้ยืนต้นพวกมะม่วงลำใยที่ปลูกไว้ก็กำลังให้ผลผลิตเช่นกัน แต่มันไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว ได้แต่ทอดถอนใจขณะก้าวข้ามลวดหนามที่ขึงไว้ในระดับที่พอให้ข้ามได้ออกมา ก่อนหันกลับไปมองยอดเขาอีกครั้งกับความหดหู่ที่ทบทวีในใจ รู้ดีว่าเมื่อทุกคนเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ว่าจะเป็นถั่ว งา ข้าวโพด มัน หรืออื่นๆ ออกจนหมด ลวดหนามที่กั้นรอบภูเขาลูกนี้จะสูงขึ้น และจะไม่มีใครที่เคยทำไร่อยู่โดยรอบบริเวณนี้ จะสามารถเข้าไปในรั้วนั้นได้อีก หากไม่ได้รับอนุญาต

          ฝุ่นกระจายฟุ้งไล่หลัง ขณะที่ผมขับรถมอเตอร์ไซค์ส่ายไปตามจังหวะของเส้นทางถนนลูกรังกลับบ้าน สายไฟบนยอดเสาขึงแนวคู่ขนานไปกับเส้นทางชนบท ไฟฟ้าและถนนนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่เห็นได้ชัดของบ้านเรา เส้นทางได้รับการปรับปรุงพร้อมการเดินสายไฟไปยังพื้นที่ต่างๆ ควบคู่กันไป นั่นทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้น และน่าจะมาจากนโยบายที่อนุญาตให้ต่างชาติสามารถเช่าที่ดินทำการเกษตรในระยะยาวนั่นด้วย ป้ายขายที่จึงมีให้เห็นทั่วไป ทั้งที่เป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ ปิดไว้ตามต้นไม้จนถึงป้ายคัทเอาท์ใหญ่โต ในขณะที่ผมเห็นแล้วยังอดห่วงไม่ได้
          "หากเราไม่รู้จักหวงแหนแผ่นดินไว้ แล้วลูกหลานในวันหน้าจะเอาอะไรทำกิน" นั่นคือคำพูดที่ผมพยายามบอกกับทุกฅน
          "ทำไร่ทำนาเมื่อไรจะรวย สู้เราขายที่เอาเงินมาลงทุนอย่างอื่นไม่ดีกว่ารึ" พวกเขาก็มักจะบอกผมกลับมาแบบนั้นเช่นกัน

          อดจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกไม่ได้ขณะบังคับรถให้วิ่งไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อนั้น คิดถึงอดีตที่ผ่านมา คิดถึงความลำเค็ญครั้งสงคราม พ่อของผมถูกฆ่าเพราะว่าเป็นครู พี่ชายและแม่หายสาบสูญ เมื่อสงครามสิ้นสุดผมก็ไม่เหลืออะไร ทั้งครอบครัวและแผ่นดินทำกิน สิ่งเดียวที่สงครามทิ้งไว้ให้คือความพิการ แขนข้างขวาที่ลีบเล็กจากการโดนทำร้าย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังดีที่สงครามสิ้นสุดและผมยังหายใจได้ยู่ ไม่ว่าอย่างไรผมก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาห้าสิบปีแล้ว หากแต่ผมก็เอาชีวิตรอดจากความลำเค็ญหลังสงครามได้อย่างยากเย็นเต็มที สู้ทำงานทุกอย่างเท่าทีมีด้วยแขนข้างเดียว ไม่ว่าจะงานไร่นา หนักเบาผมสู้หมด ผมเคยทำกระทั่งรับจ้างหิ้วรองเท้า... ตอนนั้นสงครามยังไม่จบ แต่ตลาดปอยเปตก็มีฅนไทยเข้ามาเที่ยวหาซื้อสินค้ากันแล้ว ผมดั้นด้นไปถึงนั่นเพื่อทำงานรับจ้างสาระพัด และกับสภาพความเฉอะแฉะของพื้นที่ ผมจึงได้ทำกระทั่งรับจ้างหิ้วรองเท้าอย่างที่บอก...

          ผมสร้างครอบครัวขึ้นมาจากความยากลำบากเช่นกัน จำได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากมากในตอนนั้น ระหว่างการหาซื้อที่ดินทำกิน กับการมีครอบด้วยเงินเพียงแสนเรียลในกระเป๋า ผมตัดสินใจที่จะไปสู่ขอภรรยาแทนการหาซื้อที่ดิน และน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทีเดียว เพราะหลังจากเสร็จพิธีแต่งงานที่จัดอย่างเรียบง่ายของเรา ผมก็มีเงินที่ได้จากการผูกข้อมือเพิ่มขึ้นมาเป็นกว่าสองแสนเรียล ผมนำเงินเกือบทั้งหมดไปซื้อที่ดินสำหรับครอบครัว เงินสองแสนเรียลแลกกับแผ่นดินชายเขารกร้างห่างไกลความเจริญได้หนึ่งเฮกตาร์* ผมบุกเบิกถางถากจนมันกลายเป็นพื้นที่ทำกินขึ้นมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายดาย เพราะช่วงนั้นเงินทองยังหาได้ยากมาก และเงินที่มีก็หมดไปกับราคาที่ดินจนแทบไม่มีเหลือจะให้ลงทุนอะไรขึ้นมาได้อีก
          ผมต้องตัดสินใจจากภรรยาและลูกน้อยที่เพิ่งถือกำเนิด ลักลอบข้ามเขาบรรทัดไปทำงานที่ประเทศไทย เป็นคนงานในสวนผลไม้อยู่หนึ่งปีผมก็มีเงินกลับมาบ้านหมื่นกว่าบาท จากนั้นครอบครัวของเราก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
          ยังจำได้ถึงความรู้สึกแรกกับความดีใจ เมื่อเห็นเส้นทางผ่านไร่ของเราได้รับการพัฒนา มีการนำดินลูกรังมาเทถมเพื่อให้พวกเราสัญจรไปมาได้สะดวกขึ้น มันดีกว่านั้นเมื่อมีสายไฟพาดผ่านเข้ามา ที่ดินของผมมีไฟฟ้าใช้แล้ว ผมกับภรรยาปรึกษากันว่าเราน่าจะสร้างบ้านอยู่ในไร่ จะได้ไม่ต้องอาศัยที่ของญาติๆ อยู่อย่างตอนนี้
          แต่เราดีใจกันได้ไม่นานนัก บ้านใหม่ยังไม่ทันจะได้สร้างด้วยซ้ำ วันนั้นกำนันมาพบผมที่บ้าน บอกว่าเขาลูกนั้นและพื้นที่โดยรอบถูกฅนจีนกว้านซื้อไปหมดแล้ว เราต้องทิ้งที่ดินทำกินผืนนั้น โดยพวกเขาจะมีค่าเสียหายให้ แต่มันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเราไม่ได้ต้องการขาย แถมพวกเขายังให้ราคาต่ำกว่าที่เราควจจะได้เป็นครึ่ง แน่นอนว่าผมไม่ยอม ชาวบ้านฅนอื่นๆ ก็ไม่ยอม พวกเขาจึงนัดให้พวกเราไปรวมตัวที่ภูเขาเพื่อเจรจากัน...

          วันนั้นพวกเขามากันมากมาย ทั้งผู้ใหญ่ กำนัน นายอำเภอ ผู้ช่วยนายอำเภอ ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวกับที่ดิน พวกเขาเอาหนังสือสัญญาอะไรไม่รู้มาอ่านให้พวกเราฟัง ใจความในสัญญาฉบับนั้นบอกว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ กษัตริย์ของเราซึ่งสวรรคตไปแล้วในตอนนี้นั้น ได้ขายภูเขาลูกนี้ให้ฅนจีนไปแล้ว เขายังบอกอีกว่า เพราะฅนจีนที่เขากล่าวอ้างยังไม่ว่างที่จะเข้ามาทำกิน อีกทั้งประเทศของเราได้เกิดสงครามขึ้นเสียก่อน พวกเขาจึงได้ปล่อยไว้จนถึงตอนนี้จึงได้มาทวงสิทธิ์นั้นกัน และหากพวกเราไม่ย้ายออกแต่โดยดี ก็จะถูกขับไล่โดยไม่ได้อะไรเลย
          มันเป็นข้อกล่าวอ้างอันน่าขันซึ่งทำเอาพวกเราต่างจุกในอก
          "ทำใจเถอะเพื่อน" ไอ้หยับหันมาพูดกับผมเบาๆ "อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพวกที่อยู่ในกรุง พวกนั้นโดนรื้อทำลายที่อยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทนเลยด้วยซ้ำ"
          ผมได้แต่พยักหน้ารับมันไป พวกเราจะทำอย่างไรได้ล่ะ แม้สงครามจะสิ้นสุดไปนานแล้วก็ตาม แต่ยุคสมัยของการกดขี่ข่มเหงจะยังคงไม่จบลงง่ายดายอย่างแน่นอน
          "พวกมันซื้อไปก็ยกกลับประเทศไม่ได้หรอก ไม่ว่าอย่างไรเขาย่าเมือยก็ยังอยู่กับเรานี่แหละ" ผมนึกถึงคำพูดส่งท้ายของไอ้หยับ ยังอดหวั่นใจกับร่องรอยถนนที่พาดผ่านขึ้นไปไม่ได้ หวังแต่ว่าไอ้หยับมันคงจะพูดไม่ผิดเท่านั้น

          เช้านี้หลังจากลูกชายและลูกสาวฅนเล็กไปโรงเรียนแล้ว ผมกับภรรยาและลูกชายที่เริ่มโตอีกสองฅนก็นั่งรถไถแบบเดินตามติดพ่วงท้ายเข้าไร่ เราต้องถอนมันของเรากันแล้ว แม้จะไม่ค่อยได้ราคานัก แต่ก็ยังดีกว่าจะปล่อยให้เรื่องราวมันคาราคาซังอยู่อย่างนี้
          แดดเช้าเริ่มแรง ผมทอดสายตาผ่านหลังลูกชายซึ่งกำลังบังคับรถไถ มองเลยไปตามแนวถนน เห็นป้ายขายที่ข้างทางแล้วอดคิดถึงการไปเป็นลูกจ้างฅนไทยไม่ได้ บางทีในอนาคตข้างหน้า ลูกหลานของผมอาจต้องเป็นลูกจ้างต่างชาติในแผ่นดินเกิดของตัวเอง เมื่อมองสายไฟที่ทอดขนานคู่กันไปกับเส้นทางแล้วก็อดคิดไม่ได้อีกเช่นกัน บางที... ถ้าไม่มีมันเข้ามายังจะดีเสียกว่า

         
          ผมยังคงทอดสายมองภูเขาซึ่งเห็นได้ในระยะไกลจากทุ่งนา มองก่อนที่มันจะหายไปจากสายตา อดนึกถึงทุ่งดอกหญ้าสีแดงพลิ้วไหวรับลมไม่ได้ ส่วนที่สูงจากไร่ของผมขึ้นไปนั้นพื้นที่จะมีแต่หิน และเต็มไปด้วยดอกหญ้าที่ว่า จากบนนั้นเราสามารถมองเห็นพื้นที่เบื้องล่างได้สุดสายตา ลูกสาวฅนเล็กของผมตื่นเต้นเสมอเมื่อได้ขึ้นไป แต่จะไม่มีใครได้เห็นมันอีกแล้ว ผมรู้ว่าตอนนี้ที่นั่นมีโรงงานใหญ่โต มีบ้านพักฅนงานมีรถวิ่งผ่านเข้าออกคึกคัก สิ่งที่ผมแอบหวั่นลึกๆ ในใจนั้นได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ วันหนึ่งภูเขาลูกนี้จะหายไปจากหมู่บ้านของเรา ผมรู้ว่าเป็นเช่นนั้น เพราะพวกเขากำลังป่นมันให้กลายเป็นปูนซีเมนต์เสียทั้งลูก.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

*1 เฮกตาร์ = 6.1 ไร่

ชีวิตเปื้อนสุข: ไอ้ดื้อ

          รถของเด็กพวกนัั้นแผดเสียงดังลั่นผ่านหน้าบ้านเราไป แต่วันนี้ไม่มีเสียงของมันเห่าไล่หลังเหมือนทุกวัน มันชื่อไอ้ดื้อ ครั้งแรกที่ได้เห็นมันตัวเล็กและผอมโซเลยทีเดียว มันมาจากไหนไม่รู้ แม่ให้ข้าวมันกินแล้วมันก็อยู่กับเรามาตลอด แม่บอกว่าดีแล้ว แมวมาหาหมามาสู่เป็นเรื่องดี
          ผมชอบเล่นกับมัน มันเองก็ชอบตาม ไม่ว่าผมจะไปหาปูหาปลาหรือที่ไหนๆ ก็ตาม แต่มันก็ดื้อสมชื่อจริงๆ มันชอบกัดรองเท้า กัดทุกอย่างแม้แต่หัวน้ำเหวี่ยงตามสวน และยังชอบคุ้ยโคนทุเรียนที่พ่อเพิ่งปลูก มันทำให้ต้นทุเรียนตาย พ่อโดนเถ้าแก่ดุ ดูเหมือนเถ้าแก่จะไม่ค่อยชอบไอ้ดื้อนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าแกจะไม่ชอบสุนัขนะ เพราะที่บ้านแกก็มีหมาที่แกให้นอนในห้องแอร์เลยด้วยซ้ำ พ่อชอบบอกว่า 'ฅนอะไรเลี้ยงหมาอย่างกับลูก' แต่ก็นั่นแหละ เมื่อไอ้ดื้อทำให้พ่อถูกดุ มันก็เลยถูกพ่อตีเพราะเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ
          อีกอย่างที่จะทำให้ไอ้ดื้อโดนตีก็คือเรื่องที่มันชอบวิ่งไล่รถ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคันหรอกนะที่ไอ้ดื้อมันจะไล่กวด... ถนนหน้าที่พักของเราจะเป็นทางซอยเข้าสวนไม่ค่อยมีรถผ่านมากนักหรอก แต่หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์แล้วล่ะก็ จะมีกลุ่มเด็กๆ ที่ชอบขับมอร์เตอร์ไซค์เร่งเครื่องเสียงดังผ่านไปมากันแทบทั้งวัน นั่นแหละที่ไอ้ดื้อมันจะไม่ชอบเลย

          ตอนเย็นวันนั้นมันตามผมไปหาปลาที่อ่างเก็บน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักเรานัก เสียงแว้นเฮฮาของเด็กพวกนั้นดังมาแต่ไกล ผมหันไปตะคอกไอ้ดื้อเมื่อรถกำลังผ่านเราไป แต่มันไม่ฟัง กลับเห่าเสียงดังและวิ่งไล่รถคันหนึ่งออกไป เมื่อไม่ทันมันก็หันกลับ นั่นทำให้รถคันที่ตามหลังมาเกือบชนมัน ดีที่ไอ้ดื้อหลบได้ทัน แต่มันกลับไปขวางทางของรถอีกคันที่วิ่งสวนมาจึงโดนชนอย่างจัง รถคันนั้นเสียหลักล้มไถลไปกับมัน
          ไอ้ดื้อคงเจ็บมาก มันร้องเสียงหลงทีเดียว เด็กฅนนั้นก็คงเจ็บ ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนมองขณะที่พวกเขาชี้หน้าด่า ฟังไม่ออกหรอกว่าพวกนั้นด่าว่าอะไร แต่ถึงฟังออกก็คงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ดี พวกเขาโกรธมาก เด็กฅนหนึ่งคว้าไม้จะไปฟาดไอ้ดื้อซ้ำแต่มันก็หนีไปได้

          "ไอ้กบาลรึง* หาเรื่องมาให้อีกแล้วนะมึง" พ่อบ่นมันเมื่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้น มันทำให้เราต้องเสียเงินที่พ่อบอกว่ามากพอดู ทั้งค่าซ่อมรถและค่ารักษาฅนเจ็บ ผมรู้ว่าพ่อไม่มีเงินมากนักหรอก พ่อมาทำงานที่นี่ได้ค่าแรงแค่วันละสองร้อย 'เราไม่ใช่ฅนไทยเหมือนเขา จะหวังค่าแรงเท่าเขาคงจะยาก มีงานทำก็ดีแล้ว' ผมเคยได้ยินพ่อบอกกับแม่แบบนั้น พ่อบอกว่าถึงอย่างไรก็ดีกว่าได้ค่าแรงแพงแล้วถูกโกง เหมือนก่อนหน้านี้ที่พ่อเคยทำงานก่อสร้างที่เกาะแห่งหนึ่งแล้วไม่ได้ค่าแรงอะไรเลย ช่วงนี้ฝนตกบ่อยด้วยพ่อจึงไม่ได้ทำงานทุกวัน เมื่อพ่อมีเงินไม่พอเถ้าแก่จึงต้องจ่ายค่าปรับให้ก่อน แล้วค่อยหักคืนจากค่าแรง...

          "ช่วงนี้เราต้องประหยัดกันหน่อยนะ" พ่อพูดกับแม่
          "ไม่เป็นไรหรอก กินอดอย่างไรก็ยังดีกว่าอยู่บ้านเรา อย่างน้อยยอดตำลึงกับผักกระสังในสวนก็ยังพอหาได้" เสียงแม่บอกกับพ่อ อาจเหมือนที่แม่ว่า อยู่ที่นี่อย่างไรก็ยังดีกว่าที่บ้าน แต่ผมก็อดคิดถึงทุ่งนากว้างใหญ่ อดคิดถึงเพื่อนๆ ที่นั่นไม่ได้สักที เพราะนอกจากไอ้ดื้อแล้วผมก็ไม่มีเพื่อนที่นี่เลยนี่นา

          รถของเด็กพวกนั้นแผดเสียงดังลั่นผ่านหน้าบ้านเราไป แต่วันนี้ไม่มีเสียงของมันเห่าไล่หลังเหมือนทุกวัน... เรานั่งกินข้าวกันเงียบๆ ตะวันดวงโตเห็นได้เมื่อมองผ่านประตูออกไป เย็นนี้มันช่างดูเงียบเหงามากเลย
          "พ่อไม่ได้ฆ่ามันใช่ไหม" ผมอดที่จะหันไปถามพ่อไม่ได้
          "ไม่ได้ฆ่า...!" พ่อลากเสียงหนัก "มันไปกินหญ้าที่พ่อเพิ่งพ่นยานั่นแหละ ทำให้มันตาย" พ่อตอบก่อนหันไปหยิบชิ้นเนื้อทอดจากสำรับขี้นมา "กินเข้าไปเถอะ สัจปิเซส์** เชียวนะ ไม่ใช่จะมีทุกวันนะเอ็ง" พ่อพูดพลางส่งชิ้นเนื้อเข้าปาก ผมก้มมองเนื้อทอดในชามนั่นอีกครั้งก่อนหยิบมันขึ้นมา.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

*กบาลรึง = ดื้อ หัวดื้อ
**คนขแมร์มักเลี่ยงใช้คำว่า สัจปิเซส์ (เนื้อพิเศษ) แทนการเรียกเนื้อสุนัข

วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: สุภาพ-ปัญญา


          เที่ยงแล้ว แม้จะสั่น แต่สองมือน้อยนั้นคงเหนี่ยวดึง พร้อมกับสองเท้าที่ช่วยถีบส่งให้เจ้าของร่างไต่ระดับสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สุดท้ายเขาก็โหนตัวขึ้นไปอยู่บนทางมะพร้าวได้สำเร็จ
          โซะเภียบ เด็กชายวัยสิบสองนั่งอยู่บนยอดมะพร้าวกับเสียงหายใจหอบถี่บ่งบอกถึงความอ่อนล้า ยิ่งสาย เด็กน้อยก็รู้สึกว่ายอดมะพร้าวมันยิ่งสูงขึ้น สูงขึ้น เขาจำไม่ได้ว่าปีนมากี่ต้นต่อกี่ต้นแล้วในวันนี้ เด็กน้อยรู้แต่ว่าตอนนี้เขาเหนื่อยและหิวมาก ตั้งแต่เช้าแล้วที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย นอกจากมะพร้าวอ่อนที่พอช่วยบรรเทาอาการแสบท้องบ้างเท่านั้น
          ปัญญา พี่ชายของเขายืนจับปลายเชือกอยู่ข้างล่าง พี่ชายส่งสัญญาณบอกให้ตัดมะพร้าวขณะที่คอยดึงเชือก และค่อยๆ หย่อนเพื่อให้ทะลายมะพร้าวที่มัดอยู่ลงมาบนพื้นดินอย่างนิ่มนวลที่สุด เขาสองฅนต่างผลัดกันขึ้นผลัดกันโยงลูกมะพร้าวอยู่อย่างนี้มาครึ่งค่อนวันแล้ว วันนี้มีมะพร้าวเยอะ มันก็ดีที่เขาจะได้เงินเยอะขึ้น
          เมื่อตัดเสร็จต้นโซะเภียบก็นั่งลงมากับมะพร้าวทะลายสุดท้ายสู่พื้นดิน เมื่อเช้านี้เขายังเฮฮากันอยู่เลยกับวิธีลงแบบนี้ แต่ยามนี้ทุกอย่างคืองานจริงๆ สองพี่น้องมองหน้ากัน เหนื่อยเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา หากรับรู้ได้จากแววตาอ่อนล้านั้น 'อดทนหน่อย เดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว'

          วันนี้ได้ค่าแรงเยอะเป็นพิเศษ เหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้ม หากได้ค่าแรงดีๆ แบบนี้บ่อยๆ ความฝันของเขาคงอยู่ไม่ไกล แถวนี้บางบ้านมีไฟฟ้าใช้กันแล้ว แต่บ้านของพวกเขายังต้องอาศัยพลังงานแสงสว่างจากแบตเตอรี่รถยนต์กันอยู่เลย เขาอยากมีไฟฟ้า มีจานดาวเทียมที่ดูทีวีไทยได้ แม่ของเขาชอบดูละครไทย โดยเฉพาะเรื่อง ปรอกายปรึก* ซึ่งคนที่นี่เคยติดกันงอมแงม แต่ตอนนี้ละครไทยเป็นสิ่งต้องห้ามในทีวีขแมร์**  โซะเภียบจำได้ว่าเขาเคยถามแม่ว่าทำไม 'เป็นเด็กไม่ต้องรู้หรอก รู้แต่ว่าเขาห้ามก็พอ' เป็นเด็กไม่ต้องรู้หรอก คำนี้ทำให้เขาต้องเงียบเสียทุกครั้งไม่ว่าเรื่องอะไร

          บ่ายคล้อย... จักรยานเก่าๆ คันหนึ่งคือพาหนะที่พาเขาและพี่ชายกลับบ้าน มันก็ดีที่ไม่ต้องเดิน แต่หลังจากเหนื่อยล้ามาแล้วครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็ชักไม่แน่ใจกันแล้วว่า ระหว่างเดินกับปั่นจักรยานนี่อย่างไหนจะดีกว่ากัน 
          ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางตรงสามแยกนั่น มันช่างเชิญชวนยิ่งนักในยามที่หิวจนแสบท้องแบบนี้ โซะเภียบปั่นจักรยานช้าลง ช้าลง ก่อนจอดสนิท กลิ่นกรุ่นจากหม้อก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ โชยฟุ้ง 
          "กลับไปกินข้าวที่บ้าน" ปัญญาบอกน้องอย่างรู้ทัน ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งสามพันห้าร้อยเรียล มันเป็นเงินไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับพวกเขา น้องชายมองเลยไปยังกองหอยตากที่คลุกเคล้าพริกเกลืออย่างยั่วยวน 
          "ซื้อหอยตากได้มั้ย" โซะเภียบต่อรอง 
          "เอาเงินไปให้แม่ก่อนแล้วค่อยขอแม่มาซื้อ" ปัญญาบอกน้องชาย

          แม่ไม่อยู่บ้านเมื่อสองพี่น้องมาถึง คงยังไม่กลับจากงานในไร่นั่นแหละ
          "กลับมากันแล้วเรอะ" เสียงพ่อทักทาย  โซะเภียบรู้สึกผิดหวังขณะที่พี่ชายล้วงเงินทั้งหมดในกระเป๋าส่งให้กับพ่อ เขารู้ดีว่าถ้าเงินถึงมือพ่อ ส่วนหนึ่งมันจะหายไปกับน้ำเมา และวงน้ำเต้าปูปลาที่เล่นกันอย่างเสรีในหมู่บ้าน พ่อของเขาจะต่างจากผู้ชายขแมร์ฅนอื่นตรงที่ไม่ต้องทำงานอะไร เขาเคยถามแม่เช่นกันว่าทำไมพ่อถึงไม่ต้องทำอะไร 'ก็เขาเป็นพ่อ' นั่นคือคำตอบ

          เด็กชายได้แต่มองตามหลังพ่อ ซึ่งเดินจากไปพร้อมค่าหอยตากที่เขายังไม่ทันจะได้ขอจากแม่เลย
          "อาย้าน่ะ ไปดูวัวก่อนนะ หาน้ำให้มันกินด้วย" เป็นเสียงพ่อที่ยังหันกลับมาสั่ง โซะเภียบรู้ว่าพี่ชายของเขานั้นทั้งเหนื่อยและล้าแค่ไหน แต่พี่ยังคงก้มหน้าปั่นจักรยานไปนาโดยไม่ปริปากสักคำ 'เพราะว่าเป็นลูก'

*****************************************

*ดาวพระศุกร์
**ปัจจุบันได้มีการยกเลิกคำสั่งห้ามแพร่ภาพละครไทยทางทีวีขแมร์แล้

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: สุธา


          ผมชื่อโซะเธียอายุเก้าขวบ ผมมีกระบองคู่ใจอันหนึ่ง มันทำจากไม้ไผ่ ซึ่งผมจะถือติดตัวตลอดเวลาเลย

           หมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอระตะนะม็อณฎอล ผมอยู่กับยายเพียงสองฅนที่นั่น พ่อ แม่ และพี่ชายของผมไปทำงานที่เมืองไทยกันหมด ผมเคยไปเมืองไทยหนหนึ่งเหมือนกันนะ...

          ค่ำคืนนั้น เสียงเพลงฝรั่งจากร้านอาหารริมทะเลดังคึกคักทีเดียว ทุกสิ่งดูตื่นตาตื่นใจผมไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกองฟืนสุมไฟบนลานชิดหาดทรายซึ่งกำลังส่องแสงวูบวาบอยู่นี่ หรือแสงเทียนจากโต๊ะเตี้ยๆ ที่ตั้งรายล้อมอยู่นั่นก็ตาม นักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝรั่งตัวโตหัวแดงนั่นก็ทำให้ผมตื่นเต้นได้อีกเช่นกัน พวกเขาบ้างนั่งดื่มกินบ้างยืนล้อมชมการแสดงรอบกองไฟกันอยู่
          ที่หน้ากองไฟนั้น โซะเภีย พี่ชายอายุสิบสี่ของผมกำลังทำการแสดงโชว์ควงกระบองไฟที่ผมไม่เคยเห็นเขาทำมาก่อน มันทำให้อดจะชื่นชมเสียไม่ได้ เหมือนว่าพี่ชายกำลังเล่นอยู่กับวงล้อไฟเลย ยิ่งเห็นนักท่องเที่ยวชื่นชอบการแสดงของเขาผมยิ่งภูมิใจ พี่ชายโยนกระบองขึ้นไปสูงที่เดียวและรับมันไว้ได้ เขาโค้งคำนับเมื่อจบการแสดง ทุกฅนปรบมือกันเกรียวเลย บางฅนก็มาขอถ่ายรูปด้วย ผมได้แต่ยิ้มมองพี่ชาย หากแต่จู่ๆ แหม่มฅนหนึ่งที่มาขอถ่ายรูบก็ก้มลงหอมแก้มพี่เภียเฉยเลย ทำเอาผมถึงกับตะลึงยกมือปิดตาไม่ทันทีเดียว

          วันนั้นผมได้เล่นน้ำทะเลเป็นครั้งแรกด้วย ทะเลมันกว้างใหญ่และสวยงามกว่าที่คิดไว้มากเลยจริงๆ นะ
          "แหวะ มันเค็ม" ผมร้องออกมาเมื่อได้รับรู้รสชาตินั้น พี่ชายก็ยังจะหัวเราะขำอีก
          "เออสิ จะให้มันหวานรึไง" เขาตอบกวน
          "ไม่รู้นี่..." ผมบ่นอ่อยๆ ออกมา เราเล่นน้ำกันจนเหนื่อยก็มานั่งกับพื้นมองดูคลื่นซัดทราย
          "ทำไม มีไร" พี่ชายถามเมื่อผมมองหน้าเขาและอดยิ้มขำไม่ได้
          "พี่โดนจูบด้วย" ผมทำปากยื่นใส่เขาตรงคำว่าจูบ แล้วก็หัวเราะ
          "อิจฉาล่ะสิ" เขากลับทำกวนด้วยการเชิดใส่
          "แหวะ!" ผมเบ้ปากร้องเสียงดังและทำท่าขยะแขยง แต่เขากลับเอามือมาขยี้หัวผมและหัวเราะร่า ผมไม่ยอมให้เขาทำฝ่ายเดียวหรอกต้องเอาคืนบ้าง เราจึงปล้ำกันอยู่บนหาดทรายนั่นแหละ

          ยิ่งตกเย็นทะเลก็ยิ่งสวย ฟ้าเป็นสีทอง น้ำก็ระยิบระยับจากแสงตะวันเลยทีเดียว ผมอดคิดถึงบ้านไม่ได้ มันต่างจากที่นี่มากเลย ฝรั่งผมแดงนั่นก็เช่นกัน พวกเขาดูต่างจากเรามากทีเดียว ไม่ใช่แค่รูปร่างสูงใหญ่เท่านั้นด้วย...

          "ทะเลสวยดีนะพี่" ผมพูดขึ้นระหว่างเดินกลับที่พัก
          "อืม! พี่มาทีแรกก็ตื้นเต้นแบบเอ็งนี่แหละ" พี่ชายพูดพลางสะกิดให้ดูคู่ฝร้่งชายหญิงยืนจูบกันในน้ำพลางหัวร่อคิกคัก ผมล่ะอายแทนเลย

          "ไอ้เธีย! ตื่นได้แล้ว" เสียงไก่ขันมาแข่งกับเสียงปลุกของยายแต่เช้า ผมงัวเงียตื่นขึ้นมานั่งงง ต้องทำอะไรก่อนนะ โยนผ้าห่มกองไว้ข้างฝาก่อนแล้วกัน หลังจากเอาวัวออกไปล่ามในทุ่งแล้วผมก็ตักน้ำจากบ่อมาลูบหน้า ใช้พลั่วตักขี้วัวใส่บุ้งกี๋หิ้วไปเทกองรวมกันข้างลานบ้าน นั่นแหละคืองานประจำทุกเช้าก่อนไปเรียนของผม
          "ไอ้นี่! รีบแต่งตัวไปโรงเรียนสิ" ยายหันมาดุเมื่อเห็นผมยังคงแกว่งกระบองเล่น ผมวิ่งขึ้นบ้าน ซุกกระบองไว้ข้างฝาที่มีของวางอยู่เต็มนั่นแหละ กางเกงนักเรียนขายาวพาดอยู่บนราวเชือก ผมถอดชุดเก่าพาดราวไว้ หยิบกางเกงขึ้นมาสวม เสื้ออยู่ตรงไหนนะ ผมแหวกหาดู มันอยู่นี่เอง เมื่อหยิบกระเป๋าเก่าๆ มาสะพายหลังผมก็พร้อมแล้ว เสียงไอ้ดากับไอ้มุดเรียกมาพอดี ผมรีบลงบ้านรับเงินสองร้อยเรียล ยกมือไหว้ยายแล้วก็วิ่งออกมา

          "น้ำทะเลมันเค็มนะ และทะเลมันก็ใหญ่มากด้วย" ผมโม้เรื่องเมืองไทยที่เพิ่งจากมาให้สองฅนนั่นฟังตลอดทาง รู้ว่าพวกมันต้องชอบฟังเพราะไม่เคยไปไทยกัน

          "พี่ชายข้าเป็นนักควงกระบองไฟด้วยนะโว้ย" ตอนบ่ายหลังเลิกเรียนพวกเราก็ลงทุ่งไปดูวัวของเรากัน ผมยังไม่วายจะคุยอวดพวกมันหลังจากตักน้ำให้วัวเสร็จแล้ว ผมหยิบกระบองขึ้นมาควงให้พวกมันดู
          "แค่นี้นะ" ไอ้ดาทำเสียงเยาะและทำสีหน้าเซ็งขณะถาม
          "เออ ข้าทำได้แค่นี้แหละ เอ็งต้องเห็นพี่ข้า พี่ข้าเก่งนะโว้ย" ผมพูดพลางลองควงท่าง่ายๆ ที่พี่ชายสอน "เอ็งลองดูมั้ยล่ะ" ผมยื่นกระบองให้ ไอ้ดารับไปหมุนเก้ๆ กังๆ ผมกับไอ้มุดอดขำท่าทางของมันไม่ได้
          "ไม่เอาหละ ไม่เห็นหนุกเลย" มันบอกพลางส่งไม้คืน ผมรู้ว่ามันอายที่ควงกระบองได้แย่กว่าผมเสียอีก
          "เอ็งจะลองไหม" ผมถามไอ้มุดพลางส่งไม้ให้มัน
          "เล่นน้ำกันดีกว่า" มันกลับหันหลังให้แล้วถอดเสื้อผ้าวิ่งออกไป ผมกับไอ้ดาจึงถอดเสื้อผ้าโดดลงน้ำตามมันไปเช่นกัน

          "ฝรั่งนะมันตัวโตมากเลย ผมเป็นสีแดงด้วย" ผมเล่าเรื่องเมืองไทยให้มันฟังอีกระหว่างเดินไปโรงเรียนด้วยกันในเช้าวันนี้ แต่ไอ้ดากลับรีบสวนมา
          "เอ็งคุยเรื่องอื่นเหอะ ข้าเบื่อเรื่องเมืองไทยแล้วว่ะ"
          ผมหันมองไอ้มุด มันก็ได้แต่ยิ้ม ผมจึงต้องพยักหน้าและเดินตามพวกมันไปเงียบๆ
          "มีเงาะขายด้วย" ไอ้ดาชี้มือให้ดูกองเงาะขนช้ำดำเหี่ยวที่ร้านค้าในโรงเรียน
          "ซื้อมั้ย" มันหันมาถาม ผมส่ายหน้า
          "เอ็งเอาเหอะ ตอนไปไทยข้ากินจนเบื่อแล้ว" มันสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มก่อนพากันไปซื้อเงาะเหี่ยวๆ นั่น
          "ที่เมืองไทยนะ เงาะลูกใหญ่ๆ สดๆ กว่านี้ด้วย" ผมพูดขึ้น
          "พอเหอะเอ็ง เมืองไทยอีกแล้ว" ไอ้ดารีบตัดบท ไอ้มุดก็พยักหน้ารับกันเป็นปี่เป็นกลอง ผมชักไม่พอใจเหมือนกันนะ

          "ท่านี้ใช้มือเดียว บิดไม้กลับไปมา พร้อมกับเหวี่ยงซ้ายขวา" ผมหัดควงกระบองไปนึกถึงที่พี่ชายสอนไป ท่านี้ไม่อยากเท่าไร
          "ท่านี้จับไม้ด้วยมือขวา บิดข้อมือ ยกแขนขึ้นด้านบน ใช้มือซ้ายรับไม้จากด้านหลัง บิดข้อมือ ลดแขนลงล่าง" ท่านี้ยากทีเดียว ผมยังทำได้ไม่ดีเท่าไร คงต้องพยายามให้มากขึ้น
          "ไอ้เธีย! ไปเล่นน้ำกัน" เสียงไอ้มุดตะโกนมาแต่ไกล มันมาคนเดียวไม่มีไอ้ดามาด้วยวันนี้
          "ขี้เกียจ" ผมตอบมันไปโดยไม่ได้หันมอง
          "เอ็งก็บ้าแต่กระบอง จะควงไปทำไม" มันพูดเมื่อเดินมาถึง ผมหยุด จับกระบองทิ่มดินมองดูมัน
          "ข้าจะเป็นนักควงกระบองไฟ ข้าจะไปอยู่เมืองไทย"
          "เอ็งมันบ้า บ้ากระบอง บ้าเมืองไทย ไปมาหน่อยเดียวทำเห่อ" มันเยาะเย้ยทั้งสีหน้าและน้ำเสียงซึ่งผมไม่ชอบแบบนี้เลยจริงๆ
          "เออ! ทำไม" ผมตะคอกกลับให้รู้ว่าไม่พอใจ "เรื่องของข้า เอ็งไม่ต้องมายุ่ง"
          "ไอ้เซี้ยมบ้า" มันตะโกนใส่ก่อนวิ่งออกไป ผมหันมาควงกระบอกของผมต่อ แม้ความสนุกดูจะลดลงไปบ้างก็ตาม
          "เราไม่จำเป็นต้องหมุนให้ไวมากนักก็ได้ ความกว้างของวง จะทำให้มองเหมือนว่ามันไว" คำสอนของพี่ชายยังคงดังอยู่ในหัว
          "ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม" ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม จริงสินะ ผมน่าจะลองดูบ้าง วันนี้ยายไม่อยู่ด้วย เหมาะทีเดียว
          หลังจากหาผ้ามาพันปลายไม้ทั้งสองด้าน เทน้ำมันจากตะเกียงลงไปแล้ว ผมก็จุดไฟ ยกขึ้นหมุนๆ

          หน้ากองไฟลุกโชนท่ามกลางผู้คนรายล้อมนั้น เด็กชายเก้าขวบโชว์ควงกระบองไฟอย่างคล่องแคล่ว ผมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง นักท่องเที่ยวขอถ่ายรูปคู่เมื่อจบการแสดง อดแขยงขนไม่ได้เมื่อคิดว่าหากมีใครมาหอมแก้มในเวลานั้น... จู่ๆ เปลวไฟจากปลายไม้ ก็หลุดลอยไปทางครัวอย่างไม่ทันได้ระวัง ผ้าที่ผูกมัดไว้คงไม่แน่นหนาพอ ไฟติดในทันที ผมได้แต่มองดูเปลวไฟลามเลียหลังคาหญ้าด้วยความตกใจ
          ไฟไหม้โหมแรงอย่างรวดเร็ว ผมยังคงยืนตัวสั่นขณะที่ชาวบ้านส่งเสียงเอะอะ หลายฅนช่วยกันเอาน้ำดับ แต่น้ำในตุ่มก็มีไม่เพียงพอ น้ำในบ่อก็อยู่ในระดับที่ลึกมาก การดับไฟจึงดูทุลักทุเลพอควร...

          ในที่สุดชาวบ้านก็ช่วยกันดับไฟลงได้ แต่ครัวก็ไหม้หมด โชคดีที่บ้านไม่เป็นอะไร... ผมคงได้แต่ก้มมองกองเถ้าถ่านตรงหน้า รับฟังเสียงยายด่าทอพลางวาดฝ่ามือใส่เป็นระยะไปตามอารมณ์โกรธของแก ยาดหวดผมทั้งน้ำตา นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดในการกระทำ ผมจึงไม่คิดหลบเมื่อยายหยิบกระบองอันนั้นมาโขกหัวอย่างเหลืออด คงได้แต่ยืนนิ่งกระทั่งยายเหวี่ยงมันทิ้งไปในที่สุด

          เวลาหลายวันผ่านไป กับความรู้สึกผิดที่ยังคงอยู่ในใจแม้ครัวจะได้รับการสร้างใหม่แล้วก็ตาม... ผมลืมกระบองของผมไปเลย ไม่อยากจะนึกถึงมันด้วยนั่นแหละ จนกระทั่ง...

          ขณะที่เดินอยู่ปลายเท้าก็สะดุดโดยบังเอิญ กระบองของผม ผมก้มมองและหยิบมันขึ้นมา ปัดเศษดินที่ติดอยู่ออกไปแล้วลองจับควง หากแต่ความรู้สึกผิดที่ยังมีอยู่ทำให้ผมต้องเหวี่ยงมันทิ้งอย่างไม่ใยดี

          "โอ๊ย!..."
          ผมหันมองตามเสียงร้องที่ดังมาจากทางที่เหวี่ยงกระบองออกไป
          "อะไรวะ มาถึงก็ปาไม้ใส่กันเลยเหรอ" พี่เภียนั่นเองที่กำลังเอามือลูบหัวพลางบ่นพึมพำ
          "พีเภียมา!... พีเภียมา!..." ผมยิ้ม ร้องเสียงดังและวิ่งไปกอดเขาแน่นเลย
          "พอ! พอ! ไม่ต้องดีใจมาก" พี่ชายเอ่ยปราม
          "พี่จะอยู่นานไหม" ผมมองหน้าถาม
          "นานไหม..." เขายังคงทวนคำพูดด้วยท่าทางกวนเหมือนเดิม "บางทีอาจจะนานสักหน่อย หรือไม่ก็ตลอดไป" นั่นทำให้ผมยิ้มได้อีก "พอพ่อรู้ว่ามีเด็กจะเผาบ้าน" เขาเอานิ้วมาจิ้มหน้าผม "ก็เลยให้พี่มาคอยดูแลไง" พี่เภียพูดพลางยักคิ้วใส่ "ความจริงตอนนี้มันไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวด้วยนั่นแหละ" พี่ชายอธิบาย

          "ว่าแต่..." เขาพูดพลางก้มลงหยิบกระบองอันนั้นชูขึ้น "ไม่สนใจมันแล้วรึไง"
          ผมยิ้มกว้างออกมาทันที.

ชีวิตเปื้อนสุข: เขาสำเภา


          "ไหวเหรอลุง" ผมถามพลางมองบันไดสูงชันนั่นแล้วถึงกับถอดใจเลยทีเดียว
          "ต้องไหวสิ แค่นี้เอง" ลุงยิ้มขำก่อนตอบมา คำว่าแค่นี้ของลุงมันหมายถึงบันไดพันกว่าขั้นที่จะพาเราไปสู่ยอดเขาสำเภา หรือ พนมซ็อมโภว แห่งบัตด็อมบอง* นี่เลยนะ
          "ข้ามเขาบรรทัดมาได้แล้วแค่นี้จะประสาอะไร" ลุงยังทำเป็นยิ้มถาม โธ่! ก็หมดแรงกับเขาบรรทัดไปแล้วนี่นา ผมแค่คิดในใจไม่ได้ตอบไปหรอก
.          "ทำไมเราไม่นั่งรถเครื่องขึ้นกันล่ะครับ" ผมรู้ว่าอีกด้านของเขาสำเภาจะมีเส้นทางให้รถวิ่งขึ้นไปได้ และมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดรอบริการอยู่
          "เดินขึ้นนั่นแหละเห็นอะไรได้ทั่วดี" ลุงบอกขณะนำผมไต่บันไดขึ้นไป
          "ก็นั่งรถเครื่องขึ้นแล้วเดินลงก็ได้นี่ครับ" ผมยังคงต่อรอง
          "สิ้นเปลืองเปล่าๆ และไอ้การได้ออกแรงบ้างนี่ บางครั้งก็ทำให้เราได้ภูมิใจนะ"
          ผมไม่คิดว่าลุงจะเสียดายค่ารถขึ้นเขาอย่างที่พูดหรอก แต่ก็เอาวะ จะได้ไปคุยได้ว่า ตัวข้านี้พิชิตยอดเขาสำเภามาแล้ว ด้วยขาทั้งสองข้างนี่แหละ...

          ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเยือนแผ่นดินแม่ ผมถือสัญชาติไทยมีแม่เป็นฅนขแมร์ แม่ของผมอพยพเข้าสู่เมืองไทยนานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งสงครามเพิ่งเริ่มต้นนั่นทีเดียว แม่ได้แต่งงานกับพ่อที่เป็นฅนไทย และไม่เคยได้กลับมาที่นี่อีกเลย ผมได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ของแผ่นดินนี้จากปากของแม่มาตลอดตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้ผมอยากที่จะได้มาเยือนสักครั้ง ซึ่งกว่าจะมีโอกาสก็เลยช่วงวัยรุ่นมาพอสมควรนั่นแหละ...  เป็นเพราะแม่ได้เจอญาติฅนอื่นๆ ที่ตราดโดยบังเอิญ และได้รู้ว่าพวกเขายังมีการลักลอบข้ามเขาบรรทัดติดต่อกันเป็นประจำ ยายผมและพี่น้องของแม่ยังอยู่ที่นี่ แม่จึงชวนผมข้ามแดนมากับพวกเขาเพื่อรับยายไปอยู่ด้วยกัน ซึ่งผมไม่ยอมพลาดโอกาสแบบนี้แน่นอน
          เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอยายและญาติๆ ทางฝั่งขแมร์ พวกเขาส่วนใหญ่จะพูดไทยได้ แม้จะไม่มากนักแต่ก็มากกว่าที่ผมพูดขแมร์ได้เสียอีก แม่เคยบอกว่าที่จริงยายผมเป็นฅนไทย แต่มาอยู่ที่นี่เพราะได้กับตาซึ่งเป็นฅนฝั่งนี้ จะว่าไปแล้วเรื่องของแม่กับยายนี่ดูจะสลับกันทีเดียว ส่วนตาของผมนั้นได้จากไปนานแล้ว ก่อนที่แม่จะจากบ้านเกิดไปไทยเสียอีก
          ทุกฅนต่างดีใจกับการมาเยือนของเรา โดยเฉพาะลุง แกดูจะดีใจมากที่ได้เจอผม เมื่อวานแกพาไปเที่ยวที่ตัวจังหวัด นั่นทำให้ผมได้เจอมันในระหว่างทาง มันดูสะดุดตาที่เดียว ภูเขาหินปูนซึ่งโผล่มาท่ามกลางพื้นที่ราบเรียบกับสิ่งก่อสร้างทางศาสนาบนนั้น เขาสำเภาที่ผมกำลังได้สัมผัสกับมันอยู่นี่แหละ ลุงเห็นว่าผมสนใจจึงพามาในวันนี้
          ด้วยวัยหกสิบกว่าแล้ว แต่ลุงดูไม่เหนื่อยเลยกับการปีนบันไดสููงชันแบบนี้ เป็นผมเสียอีกที่ออกอาการอย่างเห็นได้ชัด... ผืนนาราบเรียบที่มองจากมุมสูงในจุดพักช่วงหนึ่งนั้น ช่วยให้ชื่นใจพอคลายความเหนื่อยล้าไปได้ ระหว่างทางที่เราขึ้นมาจะมีจุดพักซึ่งลุงต้องเสียเงินเป็นระยะ ตู้บริจาคกับรูปเคารพทางศาสนามีอยู่ตลอดทาง ซึ่งลุงจะหยุดไหว้ทุกครั้ง ไหว้เสร็จก็จะหยอดเงินใส่ตู้เสียทุกครั้งไป
          "เจ้ากำลังมีเคราะห์นะ ค่อนข้างสาหัสทีเดียว" แม่ชีที่กวักมือเรียกลุงเข้าไปกำลังทำนายดวงผ่านลายมือให้กับลุง เดี๋ยวก็มีอะไรมาเสนออีก ผมยืนคิดในใจด้านนอกไม่ได้เข้าไปกับแกหรอก
          "หาเวลาทำบุญเสดาะเคราะห์บ้างนะ" แม่ชีว่าพลางหยิบสายสิญจน์บนพานยื่นให้ "ตามแต่ศรัทธานะ" นั่นไงว่าแล้วเชียว... เมื่อลุงจ่ายเงินเป็นค่าบูชาสายสิญจน์เสร็จแม่ชีก็หยิบขวดสเปรย์ฉีดพรมให้ เป็นการพรมน้ำมนต์ที่ทันสมัยไม่น้อยเลยทีเดียว ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
          ในทีสุดเราก็ฟันฝ่าบันไดกว่าพันขั้นขึ้นมาสำเร็จจนได้ ลุงยื่นด้ายสายสิญจน์ที่รับมาเมื่อสักครู่ส่งให้
          "ใส่ไว้" ลุงบอกสั้นๆ ผมมองแบบตั้งคำถาม ลุงพยักหน้า "ใส่ไว้เถอะ"
          ผมรับมาคล้องคอเพราะไม่อยากขัดใจลุงเสียมากกว่า คิดว่าเดี๋ยวกลับถึงบ้านค่อยถอดออกก็แล้วกัน... ลุงยังไม่พาผมขึ้นจุดสูงสุดของยอดเขาเสียทีเดียว กลับพาวนไปตามถ้ำต่างๆ กันก่อน เราเสียเงินค่านำชมถ้ำมืดๆ ในเส้นทางที่ผมกะว่าไม่น่าเกินสิบเมตรให้มัคคุเทศก์ตัวน้อยเสร็จลุงก็พาเดินอ้อมกันต่อ ผ่านรูปปั้นตามความเชื่อทางวรรณคดีและศาสนา ทั้งที่ปั้นเสร็จแล้วและกำลังก่อสร้างมาตลอดทาง ลุงจ่ายเงินให้กับเด็กๆ ที่มามุงขอกันอยู่ช่วงหนึ่งอีก ผมว่าวันนี้ลุงหมดเยอะทีเดียว น่าจะมากกว่าค่ามอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาหลายเที่ยวด้วยซ้ำ

          ลุงพามาถึงถ้ำหนึ่งในที่สุด ทีนี่ผมสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกอย่างน่าประหลาดขณะเดินลงไป หัวกะโหลกมนุษย์กองอยู่ในเรือนกระจกซี่งลุงบอกว่าเป็นโกฏกับอากาศหนาวเย็นนั้นก็ทำให้ผมขนลุกได้เหมือนกัน
          "สมัยเขมรแดงใช่มั้ยครับ" ผมถาม ลุงพยักหน้าและยืนมองกองกะโหลกหลังกระจกกั้นนั้นนิ่งนาน...
          "หาเวลาสะเดาะเคราะห์บ้างนะ" ชายที่แต่งตัวแบบหมอผีพูดบอกเมื่อลุงหยอดเงินใส่ตู้บริจาค

          ท่าทีของลุงดูนิ่งมากหลังออกจากถ้ำนั้นมา
          "มีเรื่อราวและเหตการณ์มากมายเกิดขึ้นที่นี่" ลุงเล่าขณะพาผมสู่ยอดเขา "แต่ละเรื่องโหดร้ายนั้นเกิดจากการกระทำของคนเชื้อชาติเดียวกัน" ลุงเอ่ยถ้อยคำที่ฟังเหมือนแกต้องการระบายบางอย่างออกมามากกว่า ผมจึงฟังและเดินตามไปเงียบๆ

          "เรากบฏต่อกษัตริย์ เพราะมัวเมาอำนาจ มักใหญ่ไฝ่สูง นั่นนำมาสู่การเข่นฆ่าอันโหดร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะกระทำต่อชนชาติเดียวกันได้ มันเป็นความอัปยศอดสูเกาะกินใจให้เกิดแผลที่ยากจะรักษา" ลุงพูดไทยบ้าง ขแมร์บ้างปนกันไป ซึ่งผมก็ฟังออกบ้างเดาเอาบ้างไปตามเรื่อง
          เราเดินกันมาเรื่อยผ่านรูปปั้นหนุมานที่ราวกำแพง
          "ฝรั่งเศส อเมริกา เวียดนาม มันยุ่งเหยิงไปหมด พนมเปญร้าง ฅนตายนับล้าน หลายล้าน หรือเกือบครึ่งประเทศ ความทุกข์ยากและโหดร้ายครอบคลุมไปทั่วหลายสิบปี"
          เราเดินดูรอบเจดีย์บนยอดเขาและเลยมายังด้านหนึ่ง ที่ซึ่งพื้นหินมีช่องโหว่ลึกลงไปในดิน ปล่องถ้ำ ผมมองลอดช่องไปยังพื้นเบื้องล่าง มันค่อนข้างลึกมากเลยทีเดียว
          "ฅนที่ต้องมาจบชีวิตที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ใช่จากมีด ไม้ หรือปืน หลังจากถูกทารุณถูกทุบตีแล้ว พวกเขาก็จะถูกถีบลงปล่องนี้ ปล่อยให้ไปพบความตายเบื้องล่างกันเอง"
          ผมมองปล่องลึกนั่นแล้วให้สยองกับคำบอกเล่าของลุง ตอนนี้ท้องฟ้าดูอึมครึมจากเมฆฝนที่ริ่มก่อตัว ลมเย็นพัดสัมผัสผิวกาย
          "เหตุผลของการสังหารมันงี่เง่ามาก เพราะพวกเขามีความรู้ เป็นพวกศักดินา ฅนรวย เป็นพระ หรือเพราะว่าพวกเขาฉลาดเกินไป" ตอนนี้ลุงนิ่งและดูเครียดขรึมจนผมรู้สึกอึดอัด "เราไม่ได้ฆ่าฅนชาติเดียวกันแต่เท่านั้น หากบางครั้งมันหมายถึงฅนรู้จัก ฅนที่เรารัก เพื่อน หรือแม้แต่ญาติสนิท" ลุงพูดพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยันที่มุมปาก

          ผมนึกว่าลุงจะพากลับแล้วเมื่อเดินลงมา แต่แกกลับพาเลี้ยวไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่อยู่ซ้ายมือซึ่งขาขึ้นผมไม่ทันได้สังเกต ลุงพามายังด้านล่างของถ้ำที่เรามองจากด้านบนเมือสักครู่ ความรู้สึกเย็นเยือกนั้นกลับมาอีกครั้ง ลุงยืนนิ่งอยู่เชิงบันไดกับแววตาที่พยายามซ่อนความรู้สึกบนใบหน้าเรียบเฉยนั้น ฝั่งตรงข้ามมีทางขึ้นเช่นกัน ผมก้าวลงพื้นถ้ำขณะที่ลุงยังคงยืนนิ่งดุจเดิม เมื่อแหงนมองหินงอกหินย้อยและช่องโหว่ด้านบนสุดก็อดสยองแทนร่างที่ถูกปล่อยให้ร่วงลงมาอีกไม่ได้  ฝนเริ่มลงเม็ด ฟ้าแล่บส่งเสียงครืนดังก้อง สายลมเย็นดังหวีดหวิวแทรกมาตามผนังถ้ำ ผมหันมองลุงหวังจะชวนแกออกจากที่นี่เพราะรู้สึกไม่ชอบบรรยากาศชวนสยองนี้เอาเสียเลย หากแต่รู้สึกได้ถึงผงฝุ่นและเศษหินที่ร่วงลงมาพร้อมกับเสียงลั่นจากด้านบน
          "เฮ้ย!" ผมร้องเสียงดังขณะแหงนมองเพดานที่ถล่มที่ลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ขยับตัวร่างผมก็ถูกอัดกระแทกโถมทับก่อนสติจะวูบดับไป

          "เจ็ย... เจ็ย..." ผมรู้สึกตัวเมื่อร่างถูกเขย่า หูแว่วเสียงเรียก รับรู้ได้ถึงเม็ดฝนที่สัมผัสร่าง พยายามลืมตาอย่างยากลำบาก มืด มืดมาก คอผมแห้งผาก ตัวร้อนหนาวสั่น หัวหนักอึ้งและปวดร้าวไปหมด
          "เจ็ยตื่นสิ" ผมโดนลากและถูกประคองให้ยืนขึ้น
          "ลุง" ผมพยายามเรียกออกมาอย่างยากลำบากขณะฝืนทรงตัว
          "ทำใจดีๆ ไว้ เราจะออกไปจากที่นี่กัน" ลุงบอกพร้อมประคองผมออกเดิน หากแต่เงาดำสูงใหญ่ที่หน้าบันไดท่ามกลางสายฝนนั่น มันมองเราอย่างขมึงทึง ผมรู้สึกได้แม้ในความมืดมิด
          "ออก ไป ไม่ได้" เสียงนั้นแหบพร่าและบีบคั้นความรู้สึกนัก
          "หลีกไปให้พ้น" ลุงตะหวาดสวนไป เสียงหัวเราะแหบๆ แผดออกมาจากร่างนั้นแทน
          "ไอ้ เจี้ยต มึงจะรีบ ไปไหน พวกกูรอ มึงมานาน นานมาก มึงดูพวก มันสิ ไอ้เพื่อน"
          รอบตัวเราเริ่มปรากฏเงาร่างสูงใหญ่มากมาย มันค่อยๆ ชัดขึ้น และมากขึ้น ตอนนี้พวกมันแออัดกันเต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เพดานถ้ำที่มองเห็นช่องโหว่กว้างนั่นด้วย ทุกใบหน้าต่างแสดงความมุ่งร้ายมาที่เรา เสียงหัวเราะโหยหวนแหบพร่าเริ่มขึ้นก่อนดังก้องประสาน ผมตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีเท่านี้มาก่อน... หันมองลุงที่ค่อยๆ ปล่อยมือ แกหันมาจ้องหน้าผมเช่นกัน
          "ตั้งสติให้มั่น นึกถึงคุณพระเข้าไว้ แล้ววิ่งชนมันออกไป จำไว้ อย่าหันกลับมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำบอกของลุงทำให้คิดได้ว่าตอนนี้ผมต้องมีสติให้มาก จึงได้แต่พยายามรวบรวมมันเท่าที่จะทำได้ในสถาณการณ์แบบนี้ นึกถึงคุณพระคุณเจ้าต่างๆ ที่ไม่เคยนึกถึง
          "ไป! วิ่งไป!" ทันทีที่ลุงสั่ง กับกำลังทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ผมวิ่งชนร่างสูงใหญ่ขวางหน้านั้น มันกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับเสียงคำรามอื้ออึง ผสมด้วยเสียงแผดร้องแสดงความเจ็บปวดของลุง อดที่จะหันกลับหลังมองไม่ได้...

          "ชัย... ชัย..." เสียงแม่นั่นเองที่ทำให้ผมชะงัก
          "แม!่" ผมเรียกและพยายามไต่บันไดขึ้นไปตามเสียงที่ได้ยิน มันเป็นการวิ่งหรือตะเกียกตะกายที่เหนื่อยมากสุดในชีวิต ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเคลื่อนที่ได้ทีละน้อย ทีละน้อย จนแทบไม่ขยับ ขณะที่เสียงปีศาจยังคงคำรามก้องไล่หลังมา
          "ชัย... ชัย... ตื่นสิลูก" เสียงแม่ยังคงเรียก ผมพยายามสลัดความรู้สึกและสะดุ้งตื่นลืมตา
          "แม่" ผมเรียกออกไปอย่างอ่อนล้า... ท่ามกลางแสงตะเกียงสลัว แม่ยิ้มให้ทั้งน้ำตาบนใบหน้า ผมหลับตาลงอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง
          "ลุงล่ะครับ" ผมลืมตาถามเมื่อเริ่มมีแรง  แม่ยกมือป้ายน้ำตาหันมองไปยังร่างที่มีผ้าห่มคลุมข้างตะเกียง
          "ลุงไปแล้วลูก" ผมกวาดตามองโดยรอบ ยายนั่งจับมือผมอยู่ ป้านั่งร้องไห้อยู่ข้างลุง พี่น้องและเพื่อนบ้านหลายคนต่างมารวมกันอยู่ในห้องนี้

          "เมื่อวานนี้หลังจากแกสองฅนกลับมาแม่ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ จนค่ำหลังเข้านอนแล้วนั่นแหละ แกกับลุงก็เริ่มเพ้อไม่ได้สติ" แม่เล่าให้ผมฟังในตอนเช้าขณะจัดเตรียมพิธีให้ลุง "แกสองฅนเพ้อเหมือนโต้ตอบกันอย่างนั้นแหละ" ผมลูบคลำสายสิญจน์ที่สวมคอพลางนึกถึงสัมผัสที่รู้สึกได้ถึงการที่ลุงพยายามช่วยผม ไม่ว่าจะในความฝันหรืออะไรก็ตามที  ผมคงอดที่จะนึกขอบคุณลุงไม่ได้

          "ช่วงสงครามลุงแกเคยเป็นทหารและอยู่ที่นั่นหลายปี เขาสำเภานั่นแหละ" แม่บอกกับผมหลังเสร็จงานของลุง

          สายฝนพรำลมพัดใบข้าวพลิ้วไหว ผมมองดูอย่างซึมซับกับภาพตรงหน้า กับคำพูดคำบอกเล่าของลุงนั้น คิดว่าผมคงต้องหาเวลาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของบรรพบุรุษให้มากขึ้นแล้ว กัมปุเจีย** ดินแดนนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราว.

*****************************************

*พระตะบอง (Battam bang)
**กัมพูชา (Cambodia)

วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: วรรณะ


          ผมชื่อวันนะ เกิดในจังหวัดบัตด็อมบอง พ.ศ.๒๕๔๙ นี้ผมอายุสิบสามปี หน้าที่ในแต่ละวันของผมนั้นเริ่มต้นแต่เช้าตรู่เสมอ...

          เสียงกระดิ่งเสียงเกราะดังประสานเป็นจังหวะท่ามกลางอากาศหนาวเย็น พระอาทิตย์ยังมองเห็นเป็นวงกลมสีขาวหลังม่านหมอก ผมลุยน้ำค้างต้อนวัวลงทุ่ง วัวทั้งฝูงรู้ดีว่ามันควรจะไปที่ไหน ผมจึงแค่เดินตามมันไป อาจมีต้องคอยระวังพวกที่ชอบแตกแถวในบางครั้งบ้างเท่านั้น
          เมื่อลอยสูงขึ้นตะวันก็เริ่มเปล่งแสง หมอกขาวยังคงเห็นได้จางๆ อากาศยังคงหนาวเย็น ผมเดินร้องเพลงไป ขณะเตร่ดูฝูงวัวเล็มหญ้าแห้งและตอซังข้าวที่ยังคงชุ่มน้ำค้าง รอบกายคือผืนนาราบเรียบ กอไม้ขึ้นเป็นหย่อมตามโคก ตาลยืนต้นเห็นได้ประปราย มันเป็นภาพเดิมๆ ที่แสนจะคุ้นเคย ทั้งชีวิตของผมก็มีอยู่แค่นี้ ท้องฟ้า ทุ่งนา และฝูงวัว... เด็กนักเรียนเดินตามกันเป็นกลุ่มบนถนนซึ่งทอดยาวผ่านผืนนา บ้างปั่นจักรยานตามกันไป นั่นคือภาพซึ่งผมจะเห็นได้เป็นประจำเช่นกัน
          "โปรส์ ฝากดูวัวให้ด้วยนะ" เสียงนั้นทำให้ผมต้องละสายตาจากแนวถนนเบื้องหน้า ความที่เป็นลูกชายคนเดียวของบ้านนั่นแหละทำให้แม่เรียกผมว่าโปรส์* และหลายคนต่างเรียกตามจนมันกลายเป็นอีกชื่อหนึ่งของผมไปแล้ว... ผมหันมองเจ้าของเสียง ชื่อโปว นั้นบ่งบอกถึงการเป็นลูกฅนสุดท้องของเธอ และชื่อนี้บางครั้งก็จะเป็นชื่อของผมได้เหมือนกัน เพราะผมก็เป็นลูกฅนสุดท้องเช่นกันกับเธอ
          "นะข้าจะไปหาฟืนก่อน"
          "กินกล้วยจิ้มพริกเกลือก่อนไหมล่ะ ข้าห่อมาด้วยนะ" ผมเอ่ยชวนเพราะรู้ว่าเธอต้องไม่ได้กินข้าวเช้ามาแน่นอน เป็นเรื่องปกติของบ้านเธอนั่นแหละที่จะไม่กินข้าวเช้ากัน โปวยิ้มพยักหน้ากับคำชวนของผม
          ใต้ร่มคูนใหญ่ดอกเหลืองเต็มต้นเคียงต้นตาลบนคันนานั้น เธอจิ้มกล้วยดิบกับพริกเกลือ เคี้ยวกินพลางเงยหน้ามองกับรอยยิ้มชวนสงสัย
          "กินไปสิ ยิ้มอะไรล่ะ" ผมร้องบอกด้วยไม่เข้าใจในรอยยิ้มนั้น
          "ร้องเพลงให้ฟังบ้างสิ" จู่ๆ เธอก็พูดออกมาและจ้องหน้าตาแป๋วใส่
          "เฮ้ย! บ้า ข้าร้องไม่เป็น" อดร้องเสียงหลงออกไปไม่ได้ อยู่ๆ จะให้ร้องเพลงนี่นะ
          "เมื่อกี๊ยังได้ยินนี่นา"เธอไม่ยอมลดละ
          "อยู่ฅนเดียวก็ร้องได้สิ ไม่เคยร้องให้ใครฟังนี่" ผมพยายามหาข้อแก้ตัว
          "วันก่อนยังเห็นร้องให้พวกไอ้เมาฟังอยู่เลย" เธอว่าพลางทำท่าเหมือนจะขำที่ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนออกมา
          "ก็นั่นมันพวกไอ้เมานี่"
          "ร้องให้พวกไอ้เมาฟังได้แล้วทำไมร้องให้ข้าฟังไม่ได้ล่ะ" เธอทำงอนก่อนเปลี่ยนท่าที มันทำให้ผมลำบากใจอยู่เหมือนกันนะ "น่า ร้องให้ฟังหน่อย เพลงของเขมระก็ได้ ข้ารู้ว่าเอ็งชอบเขมระ"เธอยังคงพยักเพยิดรบเร้า และผมคงได้แต่ยิ้มแห้งเบี่ยงสายตาหลบการจ้องมอง
          "ก็ได้ แต่เพลงเดียวนะ" ผมบอกเหมือนต่อรองขณะที่เธอเธอยิ้มกว้างออกมา...

          ยิ่งสายอากาศก็ยิ่งเพิ่มความร้อนระอุผิดกับช่วงเช้ามากทีเดียว เมื่อพวกเราเด็กแห่งท้องทุ่งมารวมตัวกัน กิจกรรมสนุกๆ ในระหว่างวันก็เริ่มขึ้น
          "เล่นทอยหลุมกันดีกว่า" ไอ้เมา เด็กที่ชอบทำตัวเป็นหัวโจกเอ่ยชวนหลังจากที่เราเล่นร้องเพลงกันจนเบื่อแล้ว
          "เอ็งไม่มีเหรียญเกม มีแต่แหวนรองหัวน็อต" ผมบอกกับมัน เหรียญเกมก็คือเหรียญที่เราต้องแลกเอาไว้หยอดตู้เล่นเกมกัน มันมีค่าสำหรับพวกเราเลยทีเดียว
          "จะเล่นมั้ยล่ะ" ไอ้เมาถามเสียงดังทั้งทำท่าไม่พอใจกับคำพูดของผมนัก และแม้จะรู้ดีว่าเล่นกันทุกครั้ง มันจะใช้วิธีติดไว้ก่อนแทนที่จะยอมจ่ายเป็นเหรียญเกมเมื่อแพ้เสมอ แต่ผมยังไม่อยากที่จะเล่นอะไรฅนเดียวในตอนนี้เหมือนกัน เพราะพวกเพื่อนๆ ต่างเห็นดีเห็นงามกับคำชวนกันหมดแล้ว

          "เป็นไงล่ะ" ไอ้เมาหัวเราะร่าเมื่อทอยแหวนรองหัวน็อตในมือไปชิดหลุมได้อย่างแม่นยำ แต่มันดีใจได้ไม่นานหรอก...
          "หัวเราะทีหลังดังกว่าโว้ย" ผมคุยทับมันเรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ เมื่อทอยเหรียญตีแหวนอีแปะของมันกระเด็นออกไป ไอ้เมาดูท่าจะไม่พอใจนักหรอก ซึ่งมันจะหงุดหงิดง่ายแบบนี้เสมอนั่นแหละ...

          ท่ามกลางแสงแดดแห่งท้องทุ่ง เกมของพวกเรายังคงดำเนินต่อไป
          "ข้าใกล้กว่าว่ะ" ไอ้เมาเสียงดังขึ้นอีก เมื่อแหวนอีแปะรองหัวน็อตของมันกับเหรียญของผมอยู่ในระยะก้ำกึ่งยากจะบอกได้ว่าของใครชิดหลุมกว่ากัน
          "เห็นไหมล่ะของข้าใกล้กว่า" มันบอกหลังจากก้มลงวัดหาระยะและหยิบเหรียญขึ้นมา นั่นเป็นวิธีโกงที่เด็กทุกฅนรู้ทันกันอยู่แล้ว
          "วัดโกงนี่ไอ้เมา เอ็งรีบหยิบเหรียญออกทำไมล่ะ" ผมท้วง
          "ไม่ได้โกงโว้ย! ของข้าใกล้กว่า เอ็งจ่ายมาเลย" มันพูดพลางจ้องหน้า พลางเลิกคิ้วทำท่ายียวนใส่
          "ไม่จ่ายว่ะ! เอ็งโกง" ผมตอบกลับมาดยียวนนั้นด้วยการเชิดหน้าท้าทาย
          "เอ็งต้องจ่ายสิวะ" มันข่มขู่ทั้งน้ำเสียงและสายตา คงคิดว่าผมจะกลัวล่ะสิ ความจริงคือเราสองฅนนั้นต่างไม่มีใครกลัวใคร หรือไม่มีใครยอมใครกันหรอก
          "จ้างข้าก็ไม่จ่ายโว้ย ไอ้ขี้โกง" ผมตะคอกมันกลับไป
          "โดนชกสิวะ!" มันพูดพร้อมเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ ผมสวนกลับไปอยู่แล้ว... หลังจากชกซ้ายป่ายขาวกันได้สักพัก เราก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงลงไปนอนกลิ้งกับพื้นกัน
          "เฮ้ย! อะไรวะ" ไอ้เมาร้องขึ้นก่อนผละออกจากผมเพราะโดนฟาดเข้ากลางหลังอย่างจัง เธอยืนตั้งท่าพร้อมกับไม้ในมือขณะที่ไอ้หัวโจกจ้องหน้าตาเขียวใส่
          "กล้าตีข้ารึวะ!" เมาตะคอกใส่ หากเธอยังคงเชิดหน้าท้าทาย
          "อยากลองดีงั้นสิ!" ไอ้เมาพุ่งเข้าหาอย่างไม่กลัวไม้ในมือ ผมไม่ปล่อยให้ถึงตัวเธอหรอก จับเสื้อมันกระชากเหวี่ยงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
          "ไอ้โปรส์เอ็ง!" มันส่งเสียงเหมือนคำรามขณะก้มมองเสื้อที่ขาดและยันกายขึ้น ตอนนี้ไอ้เมาได้แต่ทำหน้าขมึงทึงหันมองเราสองฅนสลับกันไปมา
          "พวกเอ็งจำเอาไว้เลย!" ในที่สุดมันก็ชี้หน้าฝากอาฆาตไว้ก่อนพาพรรคพวกจากไป

          แดดแรงยังคงฉาบทุ่งร้อน บนถนนลูกรังนั้น เด็กเล็กได้เวลาเลิกเรียนกลับบ้าน สวนทางกับเด็กโตที่ได้เวลาเข้าเรียนกันแล้ว
          "เอ็งไม่ต้องคอยช่วยข้าก็ได้" ผมบอกกับเธอโดยที่สายตายังคงทอดมองกลุ่มเด็กบนถนน
          "ทำไมล่ะ เก่งงั้นสิ" เธอทำเสียงเหมือนเยาะอยู่ในที
          "มันเรื่องของผู้ชาย" ผมตอบเบาๆ ออกไป
          "อี้โธ่... ผู้ชาย! แล้วไง ดีแต่ชกกัน" เธอพูดพลางสะบัดหน้าเชิดใส่
          "ช่างเถอะ" ผมพยายามตัดบท กลีบคูนร่วงจากต้นช้าๆ สู่ผืนดิน รอบกายเราคือสีเหลืองจากกลีบและเกสรดอกไม้ที่ปูพรมอยู่บนพื้น
          "เอ็งไม่ไปเรียนแล้วเหรอ" ผมถาม
          "ขี้เกียจ ข้าไม่เรียนแล้ว" เธอตอบแบบไม่ใส่ใจนัก ผมพอเข้าใจความรู้สึกของการเป็นลูกกำพร้าของเธอบ้างเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเธอก็ได้เรียนถึงห้าปี
          "ข้าชอบไปเรียนนะ แต่ข้าได้เรียนปีเดียวเอง" ผมพูดพลางแหงนมองดอกคูนเหลืองสดตัดกับสีฟ้าของฟ้า ปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย เมื่อพ่อกลายเป็นฅนพิการซึ่งต้องนอนอยู่กับที่ ผมก็ต้องออกจากโรงเรียน ยังดีที่มีฅนใจดีจ้างให้เลี้ยงวัว ทำให้พอมีรายได้เพิ่มจากงานรับจ้างรายวันของแม่และพี่สาว ซึ่งนานวันจะมีเข้ามาสักครั้ง และแม้จะเป็นลูกฅนสุดทัองเช่นกันกับเธอ แต่การเป็นลูกชายฅนเดียวของบ้านก็ทำให้ผมต้องกลายเป็นเรี่ยวแรงหลักของครอบครัวแทนพ่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
          "เอ็งอยากไปโรงเรียนเหมือนเด็กพวกนั้นเหรอ" เธอพูดพลางพยักหน้าไปยังกลุ่มเด็กบนถนน
          "อือ" ผมรับคำสั้นๆ
          ดอกคูนโยกไหวตามสายลมร้อนที่พัดมาในบางครั้ง เธอส่งยิ้มประกายตาสดใสเมื่อผมหันมอง

          พวกไอ้เมาเฮฮาอยู่กับแอ่งน้ำขุ่นแดงข้างทาง ขณะที่เราสองฅนอยู่ใต้ร่มคูณ
          "ซอ เจิ้ง ลอ เอะ กอ เสลิก" เธอชี้นิ้วบนหน้าหนังสือพลางสะกดคำให้ผมอ่านตาม เพราะได้เรียนมากกว่าเธอจึงหาหนังสือเรียนเก่าๆ มาหัดให้ผมอ่านเขียนได้ ผมท่องตัวสะกดตามก่อนเงยหน้ามอง
          "เอ็งไม่มีงานอะไรรึ" ผมถาม
          "มี แต่ไม่รีบหรอก" เธอตอบเรียบๆ พลางชี้ไปที่หน้าหนังสือต่อ...
          "อีโปว มามุดหัวเล่นอยู่นี่เอง" นิ้วที่ชี้ตัวอักษรชะงักค้าง เธอค่อยๆ เหลือบมองเจ้าของเสียงนั้น ลูกสาวของป้าเธอที่ชอบทำเสียงดังและข่มขู่เธอได้เสมอ เมื่อพ่อและแม่จากไป โปวก็ต้องอยู่กับครอบครัวของป้า ผมรู้ดีว่าเธอต้องรับภาระงานแทบทุกอย่างในบ้านนั้นทีเดียว
          "หนูดูวัวอยู่จ้ะ" โปวตอบเสียงอ่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกดุอยู่ดี
          "ดูวัวประสาอะไร วัวอยู่โน่น เอ็งอยู่นี่ เอาวัวไปผูกไว้เลยไป ที่บ้านยังมีงานอยู่นะ" เธอได้แต่ยิ้มแห้งให้ผมขณะที่พี่สาวสะบัดหน้าจากไป
          "ข้าไปก่อนนะ" เธอบอกก่อนรีบออกไป
          "เดี๋ยว หนังสือเอ็งล่ะ" ผมถามพลางลุกขึ้นวิ่งตาม
          "เอ็งเก็บไว้ก่อน ค่อยเอามาคืนทีหลังก็ได้" โปวหันกลับมาบอก "แล้วเอ็งจะไปไหน" เธอถามเมื่อผมยังคงตามไป
          "ไปช่วยเอ็งผูกวัวไง" ผมตอบ โปวพยักหน้ารับ

          พวกไอ้เมายังคงเล่นสนุกเสียงดังกันขณะผมเดินผ่าน หลังจากสลวันนั้นก็ไม่มีใครสนใจผมนัก ผมเองก็ไม่อยากที่จะสนใจใครเช่นกัน... ช่อดอกคูณร่วงโรยนั้นยังพอได้เห็นสีเหลืองติดกิ่งอยู่บ้าง เสียงเพื่อนๆ หยอกล้อวังดังแว่วมาขณะที่ผมเปิดหนังสือพลิกดูที่ละหน้าอยู่ฅนเดียว เราไม่ได้เจอกันมาหลายวันแล้วผมจึงยังไม่ได้คืนหนังสือให้เธอเลย...

          บนถนนลูกรัง ผมเดินปะปนไปกับเด็กนักเรียนเหล่านั้น ผ่านหน้าโรงเรียนและเลยเข้าไปในหมู่บ้าน ถึงบ้านของเธอ หากกลับลังเลที่จะเข้าไป หนังสือถูกม้วนกำไว้ด้วยสองมือขณะชะเง้อมองหา และกำลังตัดสินใจ...
          "ไอ้โปรส์วัวเอ็งไปกินข้าวตาเลือย แกให้ตามหาเอ็งอยู่นี่" เฮง เด็กในหมู่บ้านฅนหนึ่งตะโกนบอกขณะปั่นจักรยานมาแต่ไกล...

         เย็นนี้ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาเมื่อฝนหลงฤดูทำท่าจะตก
          "เอ็งไปตามตาเปียนมาจ่ายเงินข้าเลย ข้าถึงจะยอมปล่อยวัวสองตัวนี่ไป" เสียงของตาเลือย และท่าทางน่ากลัวของแกยังติดอยู่ในหัว มันเป็นความผิดของผมเองที่ทิ้งวัวออกไปแบบนั้น ผมคงได้แต่โทษตัวเอง
          "อีโปวรึ พี่สาวมันมารับไปอยู่ด้วยหลายวันแล้ว เอ็งไม่รู้หรือไง" คำพูดของไอ้เฮงที่บอกกับผมตอนขากลับจากนาตาเลือย ก็ยังก้องอยู่ในหัวเช่นกัน ยังไม่รู้เลยว่าตาเปียนเจ้าของวัวจะว่าอย่างไร หากรู้เรื่องที่ผมปล่อยวัวกินข้าวชาวบ้านจนต้องเสียเงิน อดคิดถึงเธออีกไม่ได้ ใจหายเหมือนกันกับการจากที่ไม่ทันล่ำลา ได้แต่คิดว่าบางทีเธออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมก็ได้ ผมต้อนวัวกลับบ้านทั้งความคิดสับสน วัวสองตัวไอ้ดื้อกับไอ้ขโมยก็ยังถูกจับไว้เป็นตัวประกันอยู่เลย...

          ข้ามคลองเล็กๆ ตรงหน้านี้ไปก็จะถึงบ้านแล้ว ฟ้าลั่นครืนเสียงดังทำเอาตกใจ วัวก็เช่นกัน บางตัวตื่นข้ามคลองไปแล้ว หากบางตัวยังคงทำท่าไม่อยากจะลงน้ำ ผมพยายามไล่อีอืดอาดให้ทันเพื่อน ไอ้เปรียวที่ข้ามคลองไปก่อนนั้นดันออกนอกเส้นทางเสียอีก และหากมันเดินไปเรื่อยๆ ก็จะถึงแปลงผักชาวบ้านนั้นแน่นอน ซึ่งผมจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสองขึ้นมาอีกไม่ได้

          ผมโดดไปข้างหน้าหวังให้ทันไอ้เปรียวก่อนที่มันจะถึงแปลงผัก กลับรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนต้องทิ้งตัวล้มลง ผมขาแพลง เป็นเพราะความรีบร้อนทีเดียว ได้แต่บีบเท้าและพยายามยันกายยืนขึ้น แม้จะเจ็บแค่ไหนแต่คงช้าไม่ได้ ไอ้เปรียวใกล้แปลงผักเข้าไปทุกทีแล้ว หากผมยังข้ามคลองไม่ได้เลย ซ้ำร้ายกว่านั้น อีอืดอาดที่ไม่ยอมไปตามเส้นทางเดิมก็พาตัวเองไปติดหล่มเลน วัวตัวอื่นๆ ก็ดูจะไปกันฅนละทาง ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี ฝืนเขย่งเท้าไปได้หน่อยก็เจ็บจนต้องทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง ทั้งที่ผมต้องรีบ แต่กลับเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ได้แต่นั่งดูความผิดพลาด ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา โดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย คงได้แต่ก้มหน้าทุบกำปั้นกับผืนดิน ตะโกนร้องไห้ขับความอัดอั้นที่มี ขณะที่สายฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมา...

          เสียงไล่วัวเอ็ดอึงทำให้ต้องเงยหน้ามอง ไอ้เปรียวถูกต้อนออกมาแล้ว วัวตัวอื่นๆ ก็ถูกไล่ให้มารวมฝูงแล้วเช่นกัน พวกไอ้เมานั่นเอง...
          "ร้องไห้เลยนะเอ็ง" มันมองหน้าพลางหัวเราเยาะใส่ ผมก็หัวเราะออกมาได้เช่นกัน หากเสียงร้องดังจากหล่มเลนนั้นบอกว่างานของเรายังไม่จบ ท่ามกลางสายฝนนั้น อีอืดยังคงพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้น พวกเรา ช่วยกันฉุดดึงมันขึ้นมา บางฅนลุยเลนลงไปช่วยกันผลักช่วยกันดัน แต่ก็ทำได้อย่างทุลักทุเลเต็มที ในขณะที่อีอืดอาดก็ดูอ่อนแรงลงเรื่อยๆ กว่าที่ตาเปียนกับชาวบ้านจะช่วยกันพาวัวเคราะห์ร้ายขึ้นมาได้ก็ดูจะช้าไป มันปล่อยขาเหยียดตรงเขาทิ่มดินก่อนนิ่งสนิทในที่สุด...

          ท้องฟ้ายังคงสดใสเหนือผืนนา เสียงเพลงของพวกเรายังคงดังอยู่เช่นทุกวัน ทุกฅนต่างปรบมือเมื่อเพลงจบลง
          "เอ็งจะไปจริงๆ รึวะ" เพื่อนๆ ต่างหันมองหน้าผมเมื่อเมาเอ่ยถาม
          "เออ ลุงข้าอยู่เมืองไทย ข้าจะไปทำงานกับลุงข้า อีกอย่างที่นี่ตาเปียนแกบอกขายวัวไปแล้วด้วย" ผมตอบมันไป ลมร้อนยังคงพัดผ่านทุ่งแล้ง ตาลยังคงยืนต้นเหนือผืนนา ผมกวาดตามองรอบกาย บอกไม่ถูกเหมือนกัน กับความรู้สึกที่มีต่อภาพเดิมๆ ซึ่งเห็นจนชาชินในวันต้องจาก
          "ถ้างั้นเพลงต่อไป เอ็งต้องร้องให้พวกข้าฟังเป็นการสั่งลาแล้ว" เมาบอกเสียงดังก่อนประกาศก้อง "อันดับต่อไป ขอเชิญทุกท่านพบกับ เขมระ!" พวกเราส่งเสียงเฮปรบมือกันเกรียวกราว...

          ท่ามกลางฟ้าใส แดดแรง และผืนนาแล้ง เสียงเพลงของเด็กเลี้ยงวัว ยังคงดังลั่นทุ่ง.

*****************************************

*โปรส์ (ប្រុស) อ่านว่า โประ แปลว่า ผู้ชาย