"ไหวเหรอลุง" ผมถามพลางมองบันไดสูงชันนั่นแล้วถึงกับถอดใจเลยทีเดียว
"ต้องไหวสิ แค่นี้เอง" ลุงยิ้มขำก่อนตอบมา คำว่าแค่นี้ของลุงมันหมายถึงบันไดพันกว่าขั้นที่จะพาเราไปสู่ยอดเขาสำเภา หรือ พนมซ็อมโภว แห่งบัตด็อมบอง* นี่เลยนะ
"ข้ามเขาบรรทัดมาได้แล้วแค่นี้จะประสาอะไร" ลุงยังทำเป็นยิ้มถาม โธ่! ก็หมดแรงกับเขาบรรทัดไปแล้วนี่นา ผมแค่คิดในใจไม่ได้ตอบไปหรอก
. "ทำไมเราไม่นั่งรถเครื่องขึ้นกันล่ะครับ" ผมรู้ว่าอีกด้านของเขาสำเภาจะมีเส้นทางให้รถวิ่งขึ้นไปได้ และมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดรอบริการอยู่
"เดินขึ้นนั่นแหละเห็นอะไรได้ทั่วดี" ลุงบอกขณะนำผมไต่บันไดขึ้นไป
"ก็นั่งรถเครื่องขึ้นแล้วเดินลงก็ได้นี่ครับ" ผมยังคงต่อรอง
"สิ้นเปลืองเปล่าๆ และไอ้การได้ออกแรงบ้างนี่ บางครั้งก็ทำให้เราได้ภูมิใจนะ"
ผมไม่คิดว่าลุงจะเสียดายค่ารถขึ้นเขาอย่างที่พูดหรอก แต่ก็เอาวะ จะได้ไปคุยได้ว่า ตัวข้านี้พิชิตยอดเขาสำเภามาแล้ว ด้วยขาทั้งสองข้างนี่แหละ...
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเยือนแผ่นดินแม่ ผมถือสัญชาติไทยมีแม่เป็นฅนขแมร์ แม่ของผมอพยพเข้าสู่เมืองไทยนานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งสงครามเพิ่งเริ่มต้นนั่นทีเดียว แม่ได้แต่งงานกับพ่อที่เป็นฅนไทย และไม่เคยได้กลับมาที่นี่อีกเลย ผมได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ของแผ่นดินนี้จากปากของแม่มาตลอดตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้ผมอยากที่จะได้มาเยือนสักครั้ง ซึ่งกว่าจะมีโอกาสก็เลยช่วงวัยรุ่นมาพอสมควรนั่นแหละ... เป็นเพราะแม่ได้เจอญาติฅนอื่นๆ ที่ตราดโดยบังเอิญ และได้รู้ว่าพวกเขายังมีการลักลอบข้ามเขาบรรทัดติดต่อกันเป็นประจำ ยายผมและพี่น้องของแม่ยังอยู่ที่นี่ แม่จึงชวนผมข้ามแดนมากับพวกเขาเพื่อรับยายไปอยู่ด้วยกัน ซึ่งผมไม่ยอมพลาดโอกาสแบบนี้แน่นอน
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอยายและญาติๆ ทางฝั่งขแมร์ พวกเขาส่วนใหญ่จะพูดไทยได้ แม้จะไม่มากนักแต่ก็มากกว่าที่ผมพูดขแมร์ได้เสียอีก แม่เคยบอกว่าที่จริงยายผมเป็นฅนไทย แต่มาอยู่ที่นี่เพราะได้กับตาซึ่งเป็นฅนฝั่งนี้ จะว่าไปแล้วเรื่องของแม่กับยายนี่ดูจะสลับกันทีเดียว ส่วนตาของผมนั้นได้จากไปนานแล้ว ก่อนที่แม่จะจากบ้านเกิดไปไทยเสียอีก
ทุกฅนต่างดีใจกับการมาเยือนของเรา โดยเฉพาะลุง แกดูจะดีใจมากที่ได้เจอผม เมื่อวานแกพาไปเที่ยวที่ตัวจังหวัด นั่นทำให้ผมได้เจอมันในระหว่างทาง มันดูสะดุดตาที่เดียว ภูเขาหินปูนซึ่งโผล่มาท่ามกลางพื้นที่ราบเรียบกับสิ่งก่อสร้างทางศาสนาบนนั้น เขาสำเภาที่ผมกำลังได้สัมผัสกับมันอยู่นี่แหละ ลุงเห็นว่าผมสนใจจึงพามาในวันนี้
ด้วยวัยหกสิบกว่าแล้ว แต่ลุงดูไม่เหนื่อยเลยกับการปีนบันไดสููงชันแบบนี้ เป็นผมเสียอีกที่ออกอาการอย่างเห็นได้ชัด... ผืนนาราบเรียบที่มองจากมุมสูงในจุดพักช่วงหนึ่งนั้น ช่วยให้ชื่นใจพอคลายความเหนื่อยล้าไปได้ ระหว่างทางที่เราขึ้นมาจะมีจุดพักซึ่งลุงต้องเสียเงินเป็นระยะ ตู้บริจาคกับรูปเคารพทางศาสนามีอยู่ตลอดทาง ซึ่งลุงจะหยุดไหว้ทุกครั้ง ไหว้เสร็จก็จะหยอดเงินใส่ตู้เสียทุกครั้งไป
"เจ้ากำลังมีเคราะห์นะ ค่อนข้างสาหัสทีเดียว" แม่ชีที่กวักมือเรียกลุงเข้าไปกำลังทำนายดวงผ่านลายมือให้กับลุง เดี๋ยวก็มีอะไรมาเสนออีก ผมยืนคิดในใจด้านนอกไม่ได้เข้าไปกับแกหรอก
"หาเวลาทำบุญเสดาะเคราะห์บ้างนะ" แม่ชีว่าพลางหยิบสายสิญจน์บนพานยื่นให้ "ตามแต่ศรัทธานะ" นั่นไงว่าแล้วเชียว... เมื่อลุงจ่ายเงินเป็นค่าบูชาสายสิญจน์เสร็จแม่ชีก็หยิบขวดสเปรย์ฉีดพรมให้ เป็นการพรมน้ำมนต์ที่ทันสมัยไม่น้อยเลยทีเดียว ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
ในทีสุดเราก็ฟันฝ่าบันไดกว่าพันขั้นขึ้นมาสำเร็จจนได้ ลุงยื่นด้ายสายสิญจน์ที่รับมาเมื่อสักครู่ส่งให้
"ใส่ไว้" ลุงบอกสั้นๆ ผมมองแบบตั้งคำถาม ลุงพยักหน้า "ใส่ไว้เถอะ"
ผมรับมาคล้องคอเพราะไม่อยากขัดใจลุงเสียมากกว่า คิดว่าเดี๋ยวกลับถึงบ้านค่อยถอดออกก็แล้วกัน... ลุงยังไม่พาผมขึ้นจุดสูงสุดของยอดเขาเสียทีเดียว กลับพาวนไปตามถ้ำต่างๆ กันก่อน เราเสียเงินค่านำชมถ้ำมืดๆ ในเส้นทางที่ผมกะว่าไม่น่าเกินสิบเมตรให้มัคคุเทศก์ตัวน้อยเสร็จลุงก็พาเดินอ้อมกันต่อ ผ่านรูปปั้นตามความเชื่อทางวรรณคดีและศาสนา ทั้งที่ปั้นเสร็จแล้วและกำลังก่อสร้างมาตลอดทาง ลุงจ่ายเงินให้กับเด็กๆ ที่มามุงขอกันอยู่ช่วงหนึ่งอีก ผมว่าวันนี้ลุงหมดเยอะทีเดียว น่าจะมากกว่าค่ามอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาหลายเที่ยวด้วยซ้ำ
ลุงพามาถึงถ้ำหนึ่งในที่สุด ทีนี่ผมสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกอย่างน่าประหลาดขณะเดินลงไป หัวกะโหลกมนุษย์กองอยู่ในเรือนกระจกซี่งลุงบอกว่าเป็นโกฏกับอากาศหนาวเย็นนั้นก็ทำให้ผมขนลุกได้เหมือนกัน
"สมัยเขมรแดงใช่มั้ยครับ" ผมถาม ลุงพยักหน้าและยืนมองกองกะโหลกหลังกระจกกั้นนั้นนิ่งนาน...
"หาเวลาสะเดาะเคราะห์บ้างนะ" ชายที่แต่งตัวแบบหมอผีพูดบอกเมื่อลุงหยอดเงินใส่ตู้บริจาค
ท่าทีของลุงดูนิ่งมากหลังออกจากถ้ำนั้นมา
"มีเรื่อราวและเหตการณ์มากมายเกิดขึ้นที่นี่" ลุงเล่าขณะพาผมสู่ยอดเขา "แต่ละเรื่องโหดร้ายนั้นเกิดจากการกระทำของคนเชื้อชาติเดียวกัน" ลุงเอ่ยถ้อยคำที่ฟังเหมือนแกต้องการระบายบางอย่างออกมามากกว่า ผมจึงฟังและเดินตามไปเงียบๆ
"เรากบฏต่อกษัตริย์ เพราะมัวเมาอำนาจ มักใหญ่ไฝ่สูง นั่นนำมาสู่การเข่นฆ่าอันโหดร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะกระทำต่อชนชาติเดียวกันได้ มันเป็นความอัปยศอดสูเกาะกินใจให้เกิดแผลที่ยากจะรักษา" ลุงพูดไทยบ้าง ขแมร์บ้างปนกันไป ซึ่งผมก็ฟังออกบ้างเดาเอาบ้างไปตามเรื่อง
เราเดินกันมาเรื่อยผ่านรูปปั้นหนุมานที่ราวกำแพง
"ฝรั่งเศส อเมริกา เวียดนาม มันยุ่งเหยิงไปหมด พนมเปญร้าง ฅนตายนับล้าน หลายล้าน หรือเกือบครึ่งประเทศ ความทุกข์ยากและโหดร้ายครอบคลุมไปทั่วหลายสิบปี"
เราเดินดูรอบเจดีย์บนยอดเขาและเลยมายังด้านหนึ่ง ที่ซึ่งพื้นหินมีช่องโหว่ลึกลงไปในดิน ปล่องถ้ำ ผมมองลอดช่องไปยังพื้นเบื้องล่าง มันค่อนข้างลึกมากเลยทีเดียว
"ฅนที่ต้องมาจบชีวิตที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ใช่จากมีด ไม้ หรือปืน หลังจากถูกทารุณถูกทุบตีแล้ว พวกเขาก็จะถูกถีบลงปล่องนี้ ปล่อยให้ไปพบความตายเบื้องล่างกันเอง"
ผมมองปล่องลึกนั่นแล้วให้สยองกับคำบอกเล่าของลุง ตอนนี้ท้องฟ้าดูอึมครึมจากเมฆฝนที่ริ่มก่อตัว ลมเย็นพัดสัมผัสผิวกาย
"เหตุผลของการสังหารมันงี่เง่ามาก เพราะพวกเขามีความรู้ เป็นพวกศักดินา ฅนรวย เป็นพระ หรือเพราะว่าพวกเขาฉลาดเกินไป" ตอนนี้ลุงนิ่งและดูเครียดขรึมจนผมรู้สึกอึดอัด "เราไม่ได้ฆ่าฅนชาติเดียวกันแต่เท่านั้น หากบางครั้งมันหมายถึงฅนรู้จัก ฅนที่เรารัก เพื่อน หรือแม้แต่ญาติสนิท" ลุงพูดพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยันที่มุมปาก
ผมนึกว่าลุงจะพากลับแล้วเมื่อเดินลงมา แต่แกกลับพาเลี้ยวไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่อยู่ซ้ายมือซึ่งขาขึ้นผมไม่ทันได้สังเกต ลุงพามายังด้านล่างของถ้ำที่เรามองจากด้านบนเมือสักครู่ ความรู้สึกเย็นเยือกนั้นกลับมาอีกครั้ง ลุงยืนนิ่งอยู่เชิงบันไดกับแววตาที่พยายามซ่อนความรู้สึกบนใบหน้าเรียบเฉยนั้น ฝั่งตรงข้ามมีทางขึ้นเช่นกัน ผมก้าวลงพื้นถ้ำขณะที่ลุงยังคงยืนนิ่งดุจเดิม เมื่อแหงนมองหินงอกหินย้อยและช่องโหว่ด้านบนสุดก็อดสยองแทนร่างที่ถูกปล่อยให้ร่วงลงมาอีกไม่ได้ ฝนเริ่มลงเม็ด ฟ้าแล่บส่งเสียงครืนดังก้อง สายลมเย็นดังหวีดหวิวแทรกมาตามผนังถ้ำ ผมหันมองลุงหวังจะชวนแกออกจากที่นี่เพราะรู้สึกไม่ชอบบรรยากาศชวนสยองนี้เอาเสียเลย หากแต่รู้สึกได้ถึงผงฝุ่นและเศษหินที่ร่วงลงมาพร้อมกับเสียงลั่นจากด้านบน
"เฮ้ย!" ผมร้องเสียงดังขณะแหงนมองเพดานที่ถล่มที่ลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ขยับตัวร่างผมก็ถูกอัดกระแทกโถมทับก่อนสติจะวูบดับไป
"เจ็ย... เจ็ย..." ผมรู้สึกตัวเมื่อร่างถูกเขย่า หูแว่วเสียงเรียก รับรู้ได้ถึงเม็ดฝนที่สัมผัสร่าง พยายามลืมตาอย่างยากลำบาก มืด มืดมาก คอผมแห้งผาก ตัวร้อนหนาวสั่น หัวหนักอึ้งและปวดร้าวไปหมด
"เจ็ยตื่นสิ" ผมโดนลากและถูกประคองให้ยืนขึ้น
"ลุง" ผมพยายามเรียกออกมาอย่างยากลำบากขณะฝืนทรงตัว
"ทำใจดีๆ ไว้ เราจะออกไปจากที่นี่กัน" ลุงบอกพร้อมประคองผมออกเดิน หากแต่เงาดำสูงใหญ่ที่หน้าบันไดท่ามกลางสายฝนนั่น มันมองเราอย่างขมึงทึง ผมรู้สึกได้แม้ในความมืดมิด
"ออก ไป ไม่ได้" เสียงนั้นแหบพร่าและบีบคั้นความรู้สึกนัก
"หลีกไปให้พ้น" ลุงตะหวาดสวนไป เสียงหัวเราะแหบๆ แผดออกมาจากร่างนั้นแทน
"ไอ้ เจี้ยต มึงจะรีบ ไปไหน พวกกูรอ มึงมานาน นานมาก มึงดูพวก มันสิ ไอ้เพื่อน"
รอบตัวเราเริ่มปรากฏเงาร่างสูงใหญ่มากมาย มันค่อยๆ ชัดขึ้น และมากขึ้น ตอนนี้พวกมันแออัดกันเต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เพดานถ้ำที่มองเห็นช่องโหว่กว้างนั่นด้วย ทุกใบหน้าต่างแสดงความมุ่งร้ายมาที่เรา เสียงหัวเราะโหยหวนแหบพร่าเริ่มขึ้นก่อนดังก้องประสาน ผมตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีเท่านี้มาก่อน... หันมองลุงที่ค่อยๆ ปล่อยมือ แกหันมาจ้องหน้าผมเช่นกัน
"ตั้งสติให้มั่น นึกถึงคุณพระเข้าไว้ แล้ววิ่งชนมันออกไป จำไว้ อย่าหันกลับมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำบอกของลุงทำให้คิดได้ว่าตอนนี้ผมต้องมีสติให้มาก จึงได้แต่พยายามรวบรวมมันเท่าที่จะทำได้ในสถาณการณ์แบบนี้ นึกถึงคุณพระคุณเจ้าต่างๆ ที่ไม่เคยนึกถึง
"ไป! วิ่งไป!" ทันทีที่ลุงสั่ง กับกำลังทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ผมวิ่งชนร่างสูงใหญ่ขวางหน้านั้น มันกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับเสียงคำรามอื้ออึง ผสมด้วยเสียงแผดร้องแสดงความเจ็บปวดของลุง อดที่จะหันกลับหลังมองไม่ได้...
"ชัย... ชัย..." เสียงแม่นั่นเองที่ทำให้ผมชะงัก
"แม!่" ผมเรียกและพยายามไต่บันไดขึ้นไปตามเสียงที่ได้ยิน มันเป็นการวิ่งหรือตะเกียกตะกายที่เหนื่อยมากสุดในชีวิต ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเคลื่อนที่ได้ทีละน้อย ทีละน้อย จนแทบไม่ขยับ ขณะที่เสียงปีศาจยังคงคำรามก้องไล่หลังมา
"ชัย... ชัย... ตื่นสิลูก" เสียงแม่ยังคงเรียก ผมพยายามสลัดความรู้สึกและสะดุ้งตื่นลืมตา
"แม่" ผมเรียกออกไปอย่างอ่อนล้า... ท่ามกลางแสงตะเกียงสลัว แม่ยิ้มให้ทั้งน้ำตาบนใบหน้า ผมหลับตาลงอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง
"ลุงล่ะครับ" ผมลืมตาถามเมื่อเริ่มมีแรง แม่ยกมือป้ายน้ำตาหันมองไปยังร่างที่มีผ้าห่มคลุมข้างตะเกียง
"ลุงไปแล้วลูก" ผมกวาดตามองโดยรอบ ยายนั่งจับมือผมอยู่ ป้านั่งร้องไห้อยู่ข้างลุง พี่น้องและเพื่อนบ้านหลายคนต่างมารวมกันอยู่ในห้องนี้
"เมื่อวานนี้หลังจากแกสองฅนกลับมาแม่ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ จนค่ำหลังเข้านอนแล้วนั่นแหละ แกกับลุงก็เริ่มเพ้อไม่ได้สติ" แม่เล่าให้ผมฟังในตอนเช้าขณะจัดเตรียมพิธีให้ลุง "แกสองฅนเพ้อเหมือนโต้ตอบกันอย่างนั้นแหละ" ผมลูบคลำสายสิญจน์ที่สวมคอพลางนึกถึงสัมผัสที่รู้สึกได้ถึงการที่ลุงพยายามช่วยผม ไม่ว่าจะในความฝันหรืออะไรก็ตามที ผมคงอดที่จะนึกขอบคุณลุงไม่ได้
"ช่วงสงครามลุงแกเคยเป็นทหารและอยู่ที่นั่นหลายปี เขาสำเภานั่นแหละ" แม่บอกกับผมหลังเสร็จงานของลุง
สายฝนพรำลมพัดใบข้าวพลิ้วไหว ผมมองดูอย่างซึมซับกับภาพตรงหน้า กับคำพูดคำบอกเล่าของลุงนั้น คิดว่าผมคงต้องหาเวลาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของบรรพบุรุษให้มากขึ้นแล้ว กัมปุเจีย** ดินแดนนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราว.
*****************************************
*พระตะบอง (Battam bang)
**กัมพูชา (Cambodia)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น