welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: สุขา


          "อีกาตัวหนึ่ง ร้อง กา กา เสียงดังทีเดียว มันบินวนเวียนไปมาหาน้ำดื่ม แต่ก็หาไม่ได้ เพราะห้วยหนองคลองบึงพากันแห้งแล้งกันดารไปหมด อีกามันจึงหิวน้ำมากเลย"

          แม่เล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนเช่นทุกคืน นิทานของแม่มีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายกับหอยโข่ง งูเก็งกอง กระต่ายกับปลาช่อน ศรีธนญชัย หรืออีกากับเหยือกน้ำที่ผมกำลังได้ฟังอยู่นี้...

          ผมชื่อโซ็ะคา อายุสิบสองปี เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สามของโรงเรียนเล็กๆ ในอำเภอระตะนะม็อณฎ็อลแห่งนี้ ที่จริงบ้านของผมนั้นอยู่ห่างจากโรงเรียนมากเลยทีเดียว แต่โรงเรียนนี้ก็นับว่าใกล้ที่สุดแล้วสำหรับการเดินทางมาเรียนของผม
        เมื่อชาวบ้านช่วยกันสร้างเรือนไม้หลังยาวเสร็จแล้ว หากว่าพอมีเวลาคุณครูก็จะพาพวกเราไปที่นั่นกัน ลำคลองซึ่งไม่มีน้ำแม้สักหยดนั่น มันอาจไม่เคยมีน้ำเลย หรือผมอาจไม่รู้ว่ามันเคยมี มันอยู่ตรงชายป่าโล่งๆ ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก ท้องคลองที่ดูเหมือนกับรางน้ำแห้งขอดนั้นมีแตหินก้อนกลมมน และกองกระดูกกระจัดจายอยู่ทั่วไป มันดูขาวโพลนเต็มไปหมด คุณครูบอกให้พวกเราช่วยกันเก็บรวบรวมเศษซากเหล่านั้นขึ้นมา ผมไม่รู้หรอกว่าท่านให้เราทำอย่างนั้นกันทำไม แต่ถ้าคุณครูบอกว่าให้เก็บ ก็แสดงว่ามันต้องเก็บนั่นแหละ เราทำแบบนั้นกันทุกวันที่มีเวลา บางแห่งมีร่องรอยแทร็กเตอร์ไถดินกลบ เราก็จะขุดคุ้ยขึ้นมาเท่าที่พอจะขุดหาได้ ไม่นานเรือนยาวหลังนั้นก็เต็มไปด้วยเศษซากกระดูกมนุษย์ โดยเราจะแยกส่วนที่เป็นกะโหลกกับแขนขาและส่วนอื่นๆ ออกจากกัน กองกระดูกเหล่านี้มาจากไหน ทำไมผู้ฅนจึงมาตายที่นี่กันมากมายนัก ผมอดสงสัยไม่ได้ขณะคอยช่วยส่งหัวกะโหลกเหล่านั้นให้คุณครูจัดวางอีกที
          "ทำไมจึงมีฅนตายเยอะจังครับ" ผมถามพลางมองหัวกะโหลกที่เหมือนกับอ้าปากสะแหยะยิ้มอยู่ในมือ "พวกเขาเป็นอะไรตาย"
          "ถูกฆ่านั่นแหละ" คุณครูตอบเรียบๆ พลางเอื้อมมือมารับกะโหลกจากผม
          "ใครฆ่าพวกเขา" ผมยังคงสงสัย "พวกเวียดนามหรือครับ"
          "ฅนขแมร์ด้วยกันนี่แหละ"
          "พวกอ็องการ์...?" ผมคิดว่าต้องเป็นพวกเขา บางครั้งพวกนั้นก็ถูกเรียกว่าอีกา ทหารชุดดำกับผ้าขาวม้าห้อยคอนั่น คุณครูหันมองผมและพยักหน้าเงียบๆ

          พ.ศ.๒๕๑๘ ตอนที่อายุเจ็ดขวบ ผมต้องสะดุ้งตื่นจากเสียงปืนที่รัวลั่นกลางดึก พ่อพาผมกับแม่ไปหลบในป่า ท่ามกลางเสียงปืนเสียงสู้รบนั้น ผมหลับตาซุกหน้ากับอกแม่ที่กระชับผมไว้ในอ้อมกอดเช่นกัน ตอนนั้นผมทั้งกลัวและสับสน ทั้งไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ ผมรู้แต่ว่าพวกทหารที่อยู่ในหมู่บ้านรวมถึงทหารฝรั่งพวกนั้น กำลังรบอยู่กับพวกไหนสักกลุ่ม
          ใกล้สางเสียงปืนจึงสงบลง เราออกมาจากป่าและได้รู้ว่าพวกต่างชาติถูกขับไล่ออกไปแล้ว สะพานเข้าออกหมู่บ้านถูกเผาทำลายหมด และเราต้องอยู่ภายใต้การปกครองของพวกที่เข้ามาใหม่ ทหารชุดดำเหล่านั้น พวกอ็องการ์* ตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไร แต่ยังจำได้ดีถึงคำประกาศที่บอกว่าประเทศของเราเป็นอิสระแล้ว อิสระที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ โดยเริ่มจากสีของเสื้อผ้า...
          "เปลือกอะไรน่ะแม่" แม่หยุดตำเปลือกไม้และหันมองเมื่อผมถาม แววตาของแม่ก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
          "ถอดเสื้อผ้าออกมาจะได้ย้อม" แม่บอกกับผมพลางควักเปลือกไม้จากครกใส่อ่างน้ำ อ็องการ์ทำให้ผมได้รู้ว่าเปลืกไม้หรือเมล็ดของผลไม้บางชนิดก็ใช้ย้อมเสื้อผ้าได้เช่นกัน เวลานี้ผ้าทุกสีล้วนเป็นสิ่งต้องห้าม ฅนของอ็องการ์ต้องใส่ชุดดำล้วนเท่านั้น การทำให้เสื้อผ้าที่มีเปลี่ยนเป็นสีดำหรือคล้ำลงคือสิ่งที่เราต้องรู้จักทำ เสื้อนักเรียนสีขาวกับกางเกงของผมถูกใส่ไปในน้ำข้นดำจากยางไม้นั้น มันค่อยๆ เปลี่ยนสีในทันที
          "ทำไมเราต้องใส่ชุดดำกันด้วยครับ" ผมถามพลางพลิกกลับผ้าในอ่าง เสื้อขาวของผมกลายเป็นสีเทาดำไปแล้ว
          "ไม่ต้องถามหรอก เขาบอกให้ใส่ก็ใส่เถอะ" นั่นคือคำตอบของแม่ และมันดูจะเป็นแบบนั้นทุกครั้งที่ผมถามไม่ว่าเรื่องอะไร จนผมเลิกที่จะสงสัยหรือมีคำถามอะไรแล้ว

          ยังมีความเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้น เช่นว่าเราไม่ต้องใช้เงิน ผมไม่ต้องไปเรียน ฅนเฒ่าฅนแก่ก็ไม่ต้องไปวัด ทุกฅนในหมู่บ้านไม่ว่าหนุ่มสาวหรือวัยไหนล้วนมีงานที่ต้องทำ ไม่เว้นแม้แต่เด็กอย่างผม งานหลักของเด็กๆ อย่างเราก็คือการหาเก็บขี้วัวขี้ควาย แล้วหามมากองผสมกับใบไม้ใบหญ้าเพื่อให้กลายเป็นปุ๋ยหมัก มันเป็นงานที่ค่อนข้างหนักแต่เราก็ทำกันโดยไม่มีเกี่ยงงอนหรือทักท้วง แม้จะเหนื่อยหรือหิวเพียงใดก็ตาม เราทำได้เพียงเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นกบฏ... ในที่สุดผมก็เริ่มชาชินกับการใช้ชีวิตตามคำสั่งไปแล้ว

          วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว ไอ้มณทรุดร่างผอมสูงของมันลงกับพื้นด้วยอาการที่บอกว่าเหนื่อยล้าเต็มทน ผมเองก็ไม่ต่างกับมันสักเท่าไรนักหรอก เราพากันนั่งหอบหลังจากช่วยกันหามขี้วัวขี้ควายสดๆ มาใส่กองปุ๋ย สองฅนพ่นลมหายใจทางปากโดยไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา หลังจากพักกันครู่หนึ่งเราก็ทำงานต่อ เมื่อเหนื่อยก็เริ่มหิวกันอีกแล้ว แต่เราจะไม่ได้กินอะไรอีกจนกว่าจะถึงมื้อกลางวัน ความอดอยาก เหนื่อยยาก และหิวโหย กลายเป็นเรื่องปกติที่เรารับรู้ได้ โลกของเราเป็นแบบนั้นไปแล้วจริงๆ
          ฝูงวัวเล็มหญ้ากลางทุ่ง เด็กเลี้ยงวัวแขนลีบนั่งเฝ้าพวกมันอยู่บนโคก ชาวบ้านทำงานอยู่ในไร่ไม่ไกลนัก ผมกับไอ้มณยังคงหาเก็บขี้วัวขี้ควายกันไป เราต่างทำหน้าที่ตามได้รับมอบหมายของแต่ละฅน... เสียงเคาะระฆังแว่วมา เด็กๆ รีบผละจากงาน ทุกมื้อเราจะได้กินอาหารก่อนฅนโตเสมอ ผมวิ่งพลางคลำช้อนในกระเป๋ากางเกงไปด้วย มันไม่เคยห่างกายนับแต่วันที่ได้รับแจก แต่ผมทำชามแตกไปนานแล้ว ช้อนของไอ้มณก็หายไปแล้วเช่นกัน เราจึงต้องพึ่งพากันยามนี้เสมอ
          เด็กหลายฅนนั่งกินข้าวกันก่อนแล้วตามสำรับที่ถูกวางเรียงไว้ให้ วันนี้เรามาช้านิดหน่อยเพราะมัวแต่อยู่ในทุ่งกัน ทุกมื้อกับการใช้ชามร่วมกันช้อนคันเดียวระหว่างผมกับไอ้มณนั้นทำให้เราต้องรีบเสมอ ผมซดข้าวต้มเละๆ เข้าปากไปได้หนึ่งคำไอ้มณก็รีบคว้าช้อนไปจากมือ ก่อนที่ผมจะทันได้วางลงด้วยซ้ำ มันตักน้ำปลาร้าใส่ชามข้าวต้มก่อนตักซด แล้ววางช้อนลงในชามเพื่อให้ผมได้หยิบมาใช้ต่อ การกินอาหารแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติอีกอย่างสำหรับเราสองฅนเช่นกัน วันนี้ดีหน่อยที่นอกจากข้าวต้มเปื่อยๆ และปลาร้าที่มีแต่น้ำนั่นแล้ว เรายังมียอดกระถินพอให้ได้เคี้ยวผักกันบ้าง...

          อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ผมยังคงช่วยคุณครูจัดวางกองกระดูกในเรือนยาวนั่น
          "ทำไมอ็องการ์ถึงได้ฆ่าฅนมากมายขนาดนี้" ผมเอ่ยถามขึ้นอีก
          "มันมีหลายเหตุผลที่เขาจะอ้าง เพราะฅนพวกนี้คือศัตรู เป็นกบฏ" ครูหันมองหน้าและทำท่าเหมือนจะพยายามยิ้มให้ผม "ที่น่าขันก็คือเพราะว่าพวกเขาเป็นหมอ เป็นพระ เป็นฅนรวย เป็นดารา นักร้อง... หรือเป็นครูแบบครูนี่ไงล่ะ" เรานิ่งกันชั่วขณะ ฅนเป็นหมอเป็นพระดารา หรือครูก็ต้องถูกฆ่าด้วยหรือ ผมนึกถึงไอ้นา เด็กเลี้ยงวัวแขนลีบคนนั้น พ่อของมันเป็นครู และหายไปพร้อมกับการเข้ามาของพวกอ็องการ์ นั่นสินะผมจึงไม่ได้เรียนต่อในตอนนั้น แต่ผมก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกเขาต้องฆ่าฅนมากมายขนาดนี้ คงได้แต่หาคำตอบและอดคิดย้อนไปอีกไม่ได้

          ที่หมู่บ้านเก่าของผม หลังจากชาวบ้านโดนยึดสมบัติที่มีรวมถึงที่ดินเข้ากองกลางหมดแล้ว วันหนึ่งในที่ประชุมพวกเขาก็ถามหาฅนซึ่งเคยมีตำแหน่ง ไม่ว่าจะเคยเป็นทหาร หรือผู้นำในหมู่บ้าน ให้ทุกฅนลงชื่อไว้เพื่อจะได้มอบหมายงานในตำแหน่งเดิมให้ทำ พวกเขาบอกแบบนั้น ผมยังแปลกใจที่เห็นพ่อไปลงชื่อกับเขาด้วย พ่อของผมไม่ใช่ทหารไม่ใช่ครูหรืออะไรเลยนี่นา หรือว่าพ่อจะมีตำแหน่งอะไรที่ผมไม่เคยรู้ ผมได้แต่คิดแบบนั้นเพราะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้...

          ธงชาติยังคงโบกสะบัดท่ามกลางอากาศอบอ้าว ผมแหงนมองยอดเสาพลางคิดไป จำได้ว่าแม่ไม่เคยตอบคำถามนอกจากสั่งห้าม ห้ามพูดห้ามถาม แต่ตอนนี้ผมพอเข้าใจได้แล้วว่าพ่อหายไปไหนหลังจากวันนั้น รวมถึงชาวบ้านหลายฅนที่มักถูกประกาศในที่ประชุมว่าพวกเขาเป็นกบฏนั่นด้วย... ขณะที่ช่วยคุณครูทำงานไป เมื่อมองกะโหลกชิ้นย่อมในมือก็ทำให้ผมอดคิดถึงมันขึ้นมาอีกไม่ได้...

          ที่เรือนรับประทานอาหารของเรา วงข้าวบางสำรับถูกเก็บไปแล้ว แต่เป็นเพราะเด็กพวกนั้นกินอาหารกันเสร็จแล้วมากกว่าจะอิ่ม เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ไอ้มณก็หย่อนบางอย่างที่มีสีออกดำๆ ลงชามข้าวต้มก่อนที่ผมจะตักขึ้นมา มันหลิ่วตาพยักหน้านิดๆ เมื่อผมหันมอง นั่นหมายถึงเงียบไว้และรีบกินไป ผมตักข้าวต้มพร้อมชิ้นสีดำนั่นเข้าปาก และรับรู้ได้ถึงความร้ายกาจของไอ้มณ มันแอบไปหาปลาและเผาซุกไว้ตั้งแต่เมื่อไร ท้องคลองเมื่อย่างเข้าหน้าแล้งแบบนี้จะมีน้ำขังเป็นแอ่งๆ และบางทีก็จะมีปลาที่เราเรียกว่าปลาตกคลักหลงเหลืออยู่ในแอ่งนั้น พวกฅนโตก็กำลังเผาป่าที่แผ้วถางเพื่อปลูกข้าว มันคงจะไปแอบเผาปลามาจากที่นั่น ผมเหลือบตามองไอ้มณที่ยังคงมีสีหน้านิ่งสนิทเหมือนเดิม การแอบหาปลามากินเองแบบนี้ถือว่าเป็นกบฏได้เลยทีเดียว ตอนนี้สังคมของเราคือส่วนรวม ของทุกอย่างไม่ว่าจะได้มาอย่างไรล้วนต้องเข้ากองกลาง ผมเคยเห็นหลายฅนถูกเอามาประกาศในที่ประชุมว่าเป็นกบฏ ก่อนที่พวกเขาจะหายไปอันเนื่องมาจากการแอบซุกซ่อนสิ่งของไว้เป็นส่วนตัวอยู่เนืองๆ แต่เวลานั้นผมหิวเกินกว่าจะมัวคิดอะไร อีกอย่างคือผมไม่เคยได้กินปลาย่างมานานเท่าไรก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน ต้องขอบคุณไอ้มณนั่นแหละที่ทำให้ผมไม่ลืมรสชาติของมันไปเสียก่อน

          ที่โคนเสาธง หลังจากเสร็จงานเราก็มีเวลานั่งคุยกัน ความโหดร้ายต่างๆ ถูกระบายออกมาจากปากของคุณครู เรื่องราวของการเข่นฆ่าทารุณอันเป็นที่มาของกองกระดูกตรงหน้าซึ่งผมไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ช่างน่าอดสูนัก ความโหดร้ายเหล่านั้นผมเคยอยู่กับมันด้วยซ้ำ แต่กลับไม่เคยสลดใจเท่ากับที่ได้ฟังจากปากของคุณครูในวันนี้เลย อาจเป็นเพราะตอนนั้นผมยังเด็กเกินไป จึงมองทุกอย่างว่าเป็นธรรมดาของชีวิต เพราะทุกฅนที่เห็นล้วนไม่มีใครต่างกัน โลกของผมมีอยู่แค่นั้น และอาจเป็นเพราะไม่เคยได้รับรู้ถึงการเข่นฆ่าโหดร้ายนั่นด้วยกระมัง จะว่าไปแล้วท่ามกลางสงครามแบบนี้ ผมเคยเห็นฅนตายต่อหน้าต่อตาก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้นจริงๆ
 

          ตอนอายุสิบเอ็ดขวบคือช่วงที่ผมต้องทำความเข้าใจกับความสับสนอีกครั้ง เมื่อเราต้องมาพัวพันกับทหารเวียดนาม พวกเขาพาเราอพยพออกจากหมู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงจากพวกอ็องการ์ซึ่งถูกตีแตกและชอบเข้ามาปล้นอาหาร ชาวบ้านไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องทิ้งหมู่บ้านตามทหารเวียดนามออกมา พวกเขาบอกว่าไม่นานหรอก เมื่อทุกอย่างคลี่คลายพวกเราก็จะกลับมาที่หมู่บ้านได้อีก หากแต่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยได้กลับบ้านเกิดอีกเลย...
          ผมกับไอ้มณ เราเดินคู่กันมาดีๆ จู่ๆ มันก็ผงะล้มลงพร้อมกับเสียงปืนที่ดังมาจากป่า
          "มันตายแล้ว" ชาวบ้านที่ถึงตัวมันก่อนร้องบอก ขณะที่ผมยังคงตะลึงไม่ทันขยับตัวด้วยซ้ำกับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกระทันหันตรงหน้า เราไม่รู้ว่าลูกปืนที่พรากชีวิตของมันลอยมาจากไหน ดวงตาเบิกโพลงมองมายังผมนั้นเป็นการบอกลาที่ยังจำได้ไม่ลืม
          "เราเป็นทหารกันไหม" ผมนึกถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของมัน
          "เราตัวเล็กเกินไป" ผมแย้ง
          "ไม่เล็กหรอก ใครอยากเป็นก็เป็นได้ทั้งนั้นแหละ"
          "ทำไมถึงอยากเป็นทหาร" ผมถามกลับไป
          "พวกทหารได้กินข้าวสวยเป็นเม็ดๆ " มันตอบนิ่งๆ เหมือนเคย ผมหันมองใบหน้าผอมซูบนั้น ตลอดสี่ปีมานี้เราอดอยากกันจริงๆ และจริงอยู่ที่พวกทหารจะได้กินข้าวสวยเป็นเม็ดๆ แต่พวกนั้นก็ต้องจับปืนรบกับศัตรู โดยเฉพาะพวกเวียดนามที่อ็องการ์บอกว่าชั่วร้ายที่สุด พวกเขาจึงสมควรที่จะได้รับการกินอยู่ที่ดีกว่าเรา... ผมยังไม่ทันได้ให้คำตอบกับมันพวกทหารเวียดนามก็บุกเข้ามาเสียก่อน...

          คุณครูจากไปแล้วขณะที่เพื่อนๆ ต่างเตรียมตัวกลับบ้านกัน ผมยังคงยืนมองกองกระดูกพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย... หลังจากพวกเราตามทหารเวียดนามออกมาแล้วก็ไม่ต้องเป็นพวกใคร เรามีอิสระ แต่ยังคงต้องสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณค่ายพักของพวกเวียดนามเพื่อความปลอดภัย เราสามารถหากินกันเองท่ามกลางความแร้นแค้นนั้นได้ และของที่หาได้ก็ไม่ต้องเข้ากองกลางอีกต่อไป ชีวิตของพวกเรานั้นจะว่าไปแล้วต้องบอกว่าดีกว่าที่ผ่านมามากเลยทีเดียว ผมอดคิดถึงไอ้มณอีกไม่ได้ มันตายเร็วเกินไปจึงไม่ทันได้กินข้าวสวยเป็นเม็ดๆ หากมันยังอยูผมคงให้แม่แบ่งข้าวสารให้มันบ้าง แม่ของผมพอพูดเวียดนามได้จึงรับหน้าที่คอยหาซื้อสเบียงให้พวกเขา นั่นทำให้เรามีข้าวสารมาหุงกินกัน ต่างจากเด็กอื่นที่ไม่มีกระทั่งข้าวต้มเละๆ สักถ้วย เพราะพ่อแม่ของพวกเขาไม่สามารถหาข้าวให้ได้ พวกนั้นก็จะต้องออกหาขุดกลอยตามป่ามากิน ซึ่งบางทีพวกเขาก็หมดแรงตายก่อนที่จะได้เจอ

          บ่ายคล้อยมากแล้ว ผมหันหลังให้กองกระดูกในเรือนยาวเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ความทุกข์ยากมันผ่านไปแล้ว ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว แม้เสียงปืนเสียงสู้รบจะยังคงเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและรอบด้านก็ตามที แต่วันนี้ผมไม่อดอยากเหมือนก่อนเพราะมีข้าวกินอย่างที่บอก เรามีน้ำปลาร้าเหลือเฟือ และหากวันไหนที่ผมหาปูปลาหากบเขียดมาได้ นั่นหมายความว่าเราจะมีเนื้อเป็นชิ้นๆ กินกัน โดยที่เราไม่ต้องแอบซ่อนกบเขียดปูปลาที่หาได้เหมือนตอนที่อยู่กับพวกอ็องการ์อีกต่อไป  และตอนนี้ผมมีอิสระพอที่จะเดินเท้าเปล่าบนเส้นทางหลายกิโล เพื่อไปกลับโรงเรียนซึ่งอยู่ฅนละหมู่บ้านท่ามกลางสงครามซึ่งยังคงคุกรุ่นนี้ได้ ที่สำก็คัญคือผมได้เรียนต่อหลังจากหยุดมานานหลายปี และยังได้ฟังนิทานที่แม่หยุดเล่ามาหลายปีแล้วด้วยเช่นกัน ผมว่าชีวิตของผมมีความสุขดีทีเดียวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เพียงแต่ว่าผมยังคงเป็นเด็กเท่านั้น...

          "หลังจากใส่ก้อนหินลงไปทีละก้อน ทีละก้อนแล้ว น้ำในเหยือกนั้นก็สูงขึ้นมา อีกามันก็ดื่มน้ำแก้กระหายได้ในที่สุด"

          ผมยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนิทานของแม่จบลง.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

*อ็องการ์ คำเต็มคือ อ็องการ์ปเดะว็อต (องค์การปฏิวัต)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น