welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เรื่องของฉันในวันพระ



05:30
         ฉันตื่นแต่เช้ามืด เตรียมตัวหุงหาอาหารสำหรับวันพระ 15 ค่ำ วันนี้... ชีวิตชายโสดวัยหกสิบกว่าๆ อย่างฉันก็ต้องทำอะไรด้วยตัวเองแบบนี้เป็นธรรมดา ฉันนั้นคุ้นเคยกับการต้องอยู่ฅนเดียวมานานแล้ว นับตั้งแต่ภรรยาของฉันจากไป และฉันได้รู้ว่าไม่มีใครจะสามารถให้ความรักกับฉันได้เท่ากับเธอ ฉันก็อยู่ฅนเดียวมาตลอด ลูกๆ ของฉันต่างก็ใช้ชีวิตกับครอบครัวในเมืองกันหมด ที่นี่จึงมีเพียงฉันที่อยู่เฝ้าสวนยางเกือบยี่สิบไร่ซึ่งบุกเบิกมากับเมียนี้แต่ลำพัง

07:05
          ฉันสวมชุดขาว พาดบ่าด้วยผ้าขาว เดินเท้าเปล่าเข้าวัดพร้อมข้าวปลาอาหารที่เตรียมไว้ ด้วยความที่กำแพงวัดอยู่ไม่ห่างจากรั้วบ้านสักเท่าไรฉันจึงสะดวกที่จะเดินมามากกว่า และนอกจากจะทำบุญตักบาตรแล้ว ทุกวันพระฉันจะรักษาอุโบสถศีลเป็นประจำ วัยขนาดฉันนี่ที่พึ่งทางใจดูจะเป็นสิ่งสำคัญทีเดียว อีกอย่างการได้เข้าวัดทำบุญรักษาศีลฟังเทศน์ฟังธรรมแบบนี้ ก็ยังช่วยให้ฉันได้เห็นหน้าฅนรุ่นเดียวกันที่ปรกติเราจะไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไรนักด้วย
          "มาทุกวันเลยนะทิดชม ไอ้ฉันนี่ร่างกายมันแย่เต็มที วันไหนรู้สึกมีแรงถึงจะได้มา" ทิดชุ่มเอ่ยทักทายฉัน แกมักจะบ่นเรื่องสังขารของแกให้ฉันฟังอยู่เสมอ
          "แข็งแรงอย่างทิดชมก็ดีหรอกนะ จะได้หาเอ๊าะๆ มาดูแลสักฅน" ทิดชุ่มกระเซ้า ฉันยิ้มให้แกก่อนขอตัวไปใส่บาตร

09:30
          หลังจากฟังพระสวด ฟังเทศน์ฟังธรรม รับศีลรับพรกันแล้วเราก็ทำวัตรสวดมนต์ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ซึ่งก็เป็นปรกติทุกวันของเรานั่นแหละ
          "ไม่หาเอ๊าะๆ อีกสักฅนล่ะ อยู่ฅนเดียวเหงาตายเลย ลูกหลานก็นานๆ จะมาทีแบบนี้" ทิดชุ่มยังไม่วายหันมากระแซะ ฉันปิดบทสวดมนต์ที่กำลังดูอยู่หันมาคุยกับแก
          "อย่าเลย พวกเด็กสาวๆ น่ะ เขาไม่มาจริงจังกับฅนแก่อย่างเราหรอก" ทิดชุ่มหัวเราะชอบใจ
          "เข็ดเลยรึไง" แกถาม ฉันได้แต่ยิ้มให้แกก่อนเปิดหนังสือทวนบทสวดที่ฉันยังท่องได้ไม่คล่องต่อ

17:00
          "จะกลับแล้วรึ ไม่นอนวัดกับพวกเราดูบ้าง บ้านก็ไม่มีใครนี่นา" ทิดชุ่มเอ่ยถามเมื่อฉันลาศีลเตรียมตัวกลับบ้าน เป็นประจำที่ฉันจะออกศีลตอนเย็นไม่ได้ค้างคืนที่วัดเหมือนพวกเขา
          "บ้านไม่มีใครน่ะสิถึงได้เป็นห่วง" ฉันตอบทิดชุ่ม ขณะที่เสียงยายจันบ่นเรื่องรองเท้าดังแว่วมาพอให้ได้ยิน
          "แอบซ่อนเอ๊าะๆ ไว้หรือเปล่า" ทิดชุ่มยังไม่วายที่จะแหย่
          "ไม่มีหรอก ฉันเลิกแล้วจริงๆ ขอตัวกลับก่อนนะ" ฉันเดินออกมาโดยหูยังแว่วเสียงหัวเราะไล่หลัง

17:20
          ฉันหิ้วปิ่นโตเข้ามาในป่ายาง ใช่! ต้องเรียกว่าป่ายางสินะ เพราะสวนยางของฉันมันมีสภาพแบบนั้น สวนยางโบราณ เฉาะร่องเฉพาะโคนพอให้มุดไปกรีดได้ สวนของฉันจึงดูรกร้างไม่ต่างจากป่า แถมยังมีไม้ใหญ่อย่างขนุน มะไฟ สีระมัน* ขึ้นแซมเป็นแห่งๆ ทำให้ทั้งสวนดูมืดครึ้มแม้เพิ่งจะห้าโมงกว่าๆ นกกระปูดร้องดังมาจากไหนสักแห่ง เหล่าแมลงส่งเสียงงเซ็งแซ่ไม่ผิดจากป่าเลยจริงๆ

17:30
          ตรงเนินดินระหว่างช่องว่างของต้นยางที่ตายไป ฉันนั่งลง นำอาหารจากปิ่นโตมาวางไว้ตรงนั้นเหมือนทุกครั้งในวันพระแบบนี้
          "เชิญกินเชิญอยู่นะ" ฉันพึมพำหลังจุดธูปปักลงไป
          "อิทํเม ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย" ฉันท่องบทกรวดพลางเทน้ำในถุงที่เตรียมมาลงดิน อุทิศส่วนกุศลให้ร่างที่นอนอยู่ใต้นั้นก่อนเก็บข้าวของเพื่อเดินออกมา
          "อีแหม่ม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ทอดทิ้งเอ็งหรอกนะ" ฉันยังคงพึมพำฅนเดียว ก่อนหันไปถ่มน้ำลายใส่เนินดินอีกกองที่เดินผ่าน
          "ตายอดตายอยากอยู่นี่แหละมึง!"



*ลิ้นจี่ป่า/ลิ้นจี่เกาะช้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น