'ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา' คำโบราณกล่าวนั้นดูจะใช้ได้ดีกับผมในยามนี้ยิ่งนัก รู้ดีว่ามันสายไปที่จะมาสำนึกกับคำเตือนคำสอนต่างๆ ที่ไม่เคยสำนึก คงได้แต่ส่งสายตาไปยังเขาซึ่งยืนนิ่งมองผมอย่างไร้ความรู้สึกอยู่ตรงหน้า
"คำว่านักเลงน่ะมันมาจากภาษาเขมร แปลว่านักเล่น หรือฅนเล่น ฅนเล่นไก่ก็นักเลงไก่ ฅนชอบเล่นสาวก็นักเลงผู้หญิง แล้วเอ็งคิดว่าไอ้คำว่าฅนเล่นนี่มันโก้ไหมล่ะ" คงได้แต่นึกถึงคำพูดที่เขาเคยบอกเคยสอน คำพูดแปลกๆ บางครั้งก็น่าขำ... เขาคือพี่ชายฅนเดียวของผม ครอบครัวของเรามีกันเพียงสามฅน พ่อผมแก่มากแล้ว เขาจึงพยายามทำตัวเป็นผู้ปกครอง หากแต่เราทั้งสองมีนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมชอบอะไรที่มันท้าทาย โลดโผน เขากลับชอบความเรียบง่าย สมถะ ผมมีเพื่อนมากมาย แต่เขาไม่ชอบคบใคร
"และถ้าจะเอานักเลงในความหมายไทยๆ นี่ พวกเอ็งก็ไม่ใช่ เป็นนักเลงต้องมีเรื่องชกต่อย ต้องยกพวกตีกัน ต้องมีลูกน้อง ต้องมีลูกพี่ มันใช่เหรอวะ" ยังมีอีกมากมายที่เขาพร่ำบอก เพื่อให้ผมหยุดนิสัยซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นแค่อันธพาล ไม่ใช่นักเลงในความหมายไทยๆ ตามที่เขาว่า แล้วนักเลงของเขามันคืออะไร สุภาพบุรุษแบบเมื่อห้าสิบปีที่แล้วนั่นน่ะเหรอ น่าขำชะมัด สมัยนี้มันหาไม่ได้แล้ว จำได้ว่าพูดใส่หน้าเขาไปแบบนั้น
ผมว่าเขาต่อต้านนักเลง ต่อต้านฅนที่ทำตัวเป็นลูกผู้ชายมากว่า นั่นเพราะมันห่างจากตัวเขามาก เรียกว่าตรงกันข้ามเลยที่เดียวก็ว่าได้
"เฮ้ย พี่มึงเป็นตุ๊ดเหรอวะ" เป็นคำพูดของเพื่อนๆ ที่ผมยอมรับว่าอาย ยิ่งอายผมยิ่งเกลียดเขา จึงมักขึ้นเสียงใส่เมื่อเขาพยายามที่จะสอน เราทะเลาะกันบ่อยครั้ง ในที่สุดก็ต่างฅนต่างอยู่ ทางใครทางมัน เขาอยู่ในโลกของเขา ผมอยู่ในโลกของผม โลกที่มีเพื่อนฝูงเฮฮา และโลกของเขาก็คงจะมีแต่พ่อเพียงฅนเดียว
"กูเห็นพี่มึงเดินเข้าหาพี่ดำ ท่าทางขึงขังน่าขำชะมัด เขาถามว่าใครชื่อดำ พี่ดำหัวเราะยียวนตามแบบของเขา บอกว่ากูเอง พี่ดำพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำเสียงปืนก็ดังขึ้น กูมองไม่ทันเลยว่ะ เห็นแต่หน้าผากพี่ดำเป็นรูโบ๋ใบหน้ายังยิ้มร่า เออ! พี่ดำตายห่าทั้งที่ยังยิ้มอยู่แบบนั้นแหละ" ไอ้นพเล่าเรื่องของพี่ชายให้ฟังขณะผมยังเป็นฅนป่วยที่ต้องนอนเตียง มันทำเอาสะอึกชาไปทั้งร่างกับคำบอกเล่านั้น
พี่ดำเป็นลูกพี่ของพวกเรา เป็นพี่ใหญ่สุดในกลุ่มแก๊ง พวกเราไม่มีใครกล้าหือกับพี่เขา ยิ่งผมด้วยยิ่งแล้ว ไม่มีทางกล้าแน่นอน... หากคิดจะเดินสายนักเลงเราต้องมีลูกพี่คุ้มกะลาหัว และพี่ดำจะเป็นฅนแรกที่วัยรุ่นแถวนี้นึกถึง ผมก็เช่นกัน แต่ผมมันก็มีข้อเสียเรื่องผู้หญิง ผมรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงของพี่ดำ ผมไม่เคยคิดยุ่งหรอก แต่ก็ไม่เข้มเข็งพอเมื่อเธอเป็นฝ่ายเข้าหา นั่นแหละจึงกลายเป็นการปืนเกลียวระหว่างเรา
เพื่อนๆ เริ่มตีตัวออกห่างเมื่อรู้ว่าผมมีเรื่องกับลูกพี่ ไม่มีใครกล้ามาคบกับผม ผมพยายามหลบ ไม่กล้าไปเรียน และได้แต่หลบ หากไม่พ้น วันนั้นผมโดนรุมโดยเพื่อนๆ ได้แต่ยืนดู ผมถูกซ้อมจนสลบ อาการสาหัสจนต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนานหลายวัน แล้วไอ้นพก็เอาข่าวนั้นมาบอก
"ฅนที่อวดตัวว่าดี มันไม่ใช่คนดี ฅนที่อวดตัวว่าเป็นนักเลง มันก็ไม่ใช่นักเลง"
เพิ่งเข้าใจคำพูดของเขาได้ดีวันนี้เอง... วันที่ผมทำได้แค่มองเขาผ่านลูกกรงเหล็กนั่น ปล่อยน้ำตาแห่งความอ่อนแอไหลออกมาอย่างสุดฝืน
"อย่างพี่นี่สินะ นักเลงที่แท้จริง" ผมถามด้วยเสียงที่ดูตีบตันในลำคอ เขาเหลือบตามอง ยิ้มให้แบบสมเพชเหมือนทุกครั้งที่มักแสดงกิริยาแบบนี้กับผม ส่ายหน้านิดๆ ก่อนเอ่ยน้ำเสียงเรียบๆ ออกมา...
"ไม่ใช่... อย่าลืมสิ ตอนนี้พี่เป็นฆาตกร"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น