welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Dab neeg: ตำนานอาถรรพ์



          "แม่น้ำทุกสาย ป่าทุกป่า ต่างมีที่มาและตำนานของมัน" ร่างนั้นส่งเสียงราบเรียบ ด้วยท่าทางที่นิ่งกระทั่งเครื่องประดับเงินที่ห้อยระย้าอยู่บนหมวก และเสื้อซึ่งมีลายปักสวยงามนั้นเหมือนไร้ซึ่งการสั่นไหว กระโปรงจับจีบระบายที่สวมใส่นั้นดูขาวสะอาดตา ใต้ต้นประดู่บนหินก้อนใหญ่ตรงลานโล่ง ร่างนั้นเหลือบมองหญิงสาวผู้ซึ่งเพียงก้มหน้ารับฟัง โดยรอบคือบ้านเรือนซึ่งปลูกสร้างอยู่เป็นกลุ่ม กระท่อมเล็กๆ หลังคามุงหญ้า ถัดออกไปคือทุ่งบัวตองสีเหลืองบานสะพรั่งคลุมพื้นที่ซึ่งลดระดับลงตามสภาพไหล่เขา
          "นานมาแล้วใต้ต้นประดู่นี้ หญิงอาภัพคนหนึ่งได้จบชีวิตของเธอที่นี่" เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีกขณะหญิงสาวตรงหน้าคงมีท่าทีดุจเดิม...


          สายลมหนาวแทรกผ่านร่องฝาฟากสับเข้ามาภายในกระท่อมหลังน้อยพร้อมบรรยากาศแห้งแล้งของคืนหนาวเย็น
          "สองวันแล้วนะ ยังไม่มีข่าวเลย" หญิงชราเพียงพึมพำออกมาขณะเขี่ยกองไฟในเตากลางบ้าน ส่งเสียงไอออกมาพลางสุมฟืนเข้าไปใหม่ ไออุ่นแผ่กระจายกลิ่นควันลอยอบอวล
          "นังลูกชั่ว มันไม่รู้หรอกว่าจะให้ทำพ่อแม่อับอายได้แค่ไหน" ชายวัยกลางคนบนพื้นยกสูงพูดพลางรินเหล้าเข้าปาก ทำหน้าเหยเกก่อนวางท่าขึงขังขึ้นอีก "คนแซ่เดียวกันจะแต่งกันได้ยังไง มันงี่เง่าสิ้นดี" เขายังคงระบายความขัดเคืองขณะภรรยาซึ่งอยู่อีกมุมชำเลืองมอง ทอดถอนใจพลางทิ่มเข็มปักผ้าในมือ
          "เรื่องนั้นมันผ่านไปแล้ว เรื่องตอนนี้คืออาเหมยไปอยู่ไหนนี่สิ" หญิงชราเอ่ยเหมือนปรามในที น้ำตาไหลซึมผ่านรอยเหี่ยวย่นสู่ข้างแก้ม แกยกฝ่ามือขึ้นปาดหน้าขณะนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา...

          "ทำไมคนแซ่เดียวกันถึงรักกันไม่ได้" คำถามของหลานสาวในวันนั้นทำเอาทุกคนในบ้านพากันตกใจ และต่างโกรธแค้น สำหรับแกเองนั้นไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร เมื่อจารีตที่มีมาเนิ่นนานนั้นถูกท้าทาย
          "คนแซ่เดียวกันใช่จะเป็นพี่น้องกันเสมอไปนี่นา คนต่างแซ่บางครั้งเป็นพี่น้องกันก็มี" หญิงชรารู้ว่าบางทีคำพูดนั้นก็ดูมีเหตุผล แต่แกรู้ดีว่าบางสิ่งนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลง
          "อย่างหนูกับน้องชายหากแต่งงานไปลูกของเราสองคนก็ต้องใช้คนละแซ่ แล้วลูกๆ ของพวกเราจะไม่ใช่พี่ไม่ใช่น้องกันอย่างนั้นรึ" อดทอดถอนใจออกมาอีกไม่ได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ หากแต่กฎต้องเป็นกฎ หญิงชรายกฝ่ามือปาดน้ำตาอีกครั้งเมื่อนึกถึงหลานสาวหัวดื้อที่ยังคงยืนกรานแม้จะถูกเฆี่ยนตีอย่างไรก็ตาม...

          "อยู่ไหนก็ช่างมันปะไรล่ะ ให้ไปอยู่สบายแล้วอยากหนีออกมาเอง ดูซิว่ามันจะมีปัญญาไปได้แค่ไหน" ลูกชายของนางยังคงแสดงความกราดเกรี้ยว "อีกอย่าง มันเป็นคนแซ่ลีไปแล้วก็ให้คนแซ่ลีเขาจัดการกันเอง" หญิงชราคงได้แต่ทอดถอนใจขณะฟังลูกชายระบายอารมณ์ไป อดนึกถึงความผิดพลาดที่แกอาจมีส่วนร่วมนั้นไม่ได้... เสียงกรีดร้องขณะถูกคร่าดึงนั้นยังฝังในความรู้สึก แววตาตระหนกกับสายตาอ้อนวอนทีแกได้แต่ยืนมอง รู้ว่ามันคือจารีตประเพณี แต่บางครั้งการฉุดคร่าก็ทำให้แกสะเทือนใจได้เช่นกัน

          "เมื่อไม่มีทางเลือกเราก็ต้องตัดใจให้มันออกเรือน" แกยังคงจำได้วันที่ลูกชายของแกปรึกษากับเมียในตอนนั้น
          "แกจะยอมให้สองคนนั่นแต่งงานกันรึไง" สะใภ้ของแกถามกลับอย่างแปลกใจ
          "ไม่ใช่ ข้าจะให้ลูกเฒ่าซ่งมาฉุดมัน ไอ้เย้งมันต้องการอีเหมยอยู่แล้ว" แกอดตกใจไม่ได้กับคำพูดของลูกชาย
          "อันที่จริงประเพณีฉุดสาวนี่ผู้หญิงต้องเต็มใจด้วยนะ" แกจำได้ว่าค้านออกไปแบบนั้น
          "พ่อมันเต็มใจ ลูกมันจะขัดได้ยังไง" หากลูกชายคงยืนกราน แกรวมถึงทุกคนในบ้านก็คงได้แต่จำยอม

          ภาพหลานสาวต่อสู้ดิ้นรนกับแววตาที่ทำให้รู้สึกผิดได้ทุกทีเมื่อนึกถึง มันเป็นประเพณี และเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องจัดการเรื่องคู่ครองให้ลูกสาว แกได้แต่ปลอบใจตัวเองและปล่อยให้ลูกชายเฒ่าซ่งพาตัวเธอไปในที่สุด หากหลานสาวไปอยู่ที่นั่นไม่นาน ไม่ทันจะได้จัดพิธีแต่งงานด้วยซ้ำ คนบ้านนั้นก็มาแจ้งข่าวว่าหลานสาวของแกหนีออกมา เธอไม่ได้มาที่นี่ ไม่มีใครได้พบเห็นเธออีกเลย

          "ที่ข้าอดห่วงไม่ได้ก็คือเรื่องป่านั่น" หญิงชราพูดพลางแหงนหน้ามองลูกชาย
          "ชาวบ้านมันก็ร่ำลือกันไปอย่างนั้นแหละ" ลูกชายยังคงวางท่าไม่รับรู้สิ่งใด ขณะค่ำคืนหนาวเย็นยังคงคืบคลานไปอย่างช้าๆ หญิงชรารู้ดีว่าแกคงไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างแน่นอน


          "จะว่าที่นี่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากความเจ็บปวดของการถูกกดขี่ข่มแหงก็คงจะไม่ผิดนักหรอก" ร่างนั้นยังส่งเสียงเรียบๆ ขณะหญิงสาวทอดตามองรอบกาย หน้าบ้านแต่ละหลังนั้น หญิงหลายคนต่างทำหน้าที่ของตน บ้างปักผ้า บ้างนั่งจักสานซ่อมแซมเครื่องมือเครื่องใช้ หากแต่ละคนล้วนมีความเรียบเฉยบนใบหน้าซีดเซียวไม่ต่างกัน...

          ใบข้าวโพดส่ายไหวน้อยๆ ตามสายลม หญิงชราห่อตัวกอดอกจากความหนาวเย็น สายตาฝ้าฟางมองเลยทุ่งข้าวโพดออกไปยังพื้นที่ซึ่งถูกปล่อยทิ้งให้เป็นป่า แกเดินฝ่าแถวข้าวโพดแห้งๆ นั้นเข้าไป
          "อาเหมย... อาเหมย..." เสียงแหบแห้งนั้นพยายามเปล่งเรียกหา หากมีเพียงสายลมที่ตอบรับ 'มีคนสงสัยว่าอาเหมยจะไปที่นั่น' คำพูดของเพื่อนบ้านที่บอกอย่างเอาแน่ไม่ได้ทำให้แกต้องบากบั่นเข้ามาในเขตหวงห้าม ป่าลับแลแห่งนี้

          "เจ้าจะไม่อาลัยสถานที่ซึ่งจากมาอย่างนั้นรึ" ร่างนั้นยังคงส่งเสียงไร้ความรู้สึกดุจเดิม
          "ข้าไม่อาจลืมทุกสิ่งได้ง่ายดายหรอก" หญิงสาวก้มหน้าตอบ "หากอยู่ที่นั่นแล้วความเป็นหญิงจะทำให้เราไม่มีสิทธิ์เลือกทางเดิน ไม่มีสิทธิ์ขัดขืนใดใด..."

          'นังแพศยา อย่านึกว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือข้าได้'
          ข้าคงจำได้ไม่ลืม ฝ่ามือกำยำนั่นปิดปากข้าไว้โดยที่ร่างของมันยังคงคร่อมทับเพื่อป้องกันการขัดขืน มันตบตี ทั้งก่นด่าไปสารพัด ฝ่ามือนั้นบีบแน่นขยุ้มเกร็งจนเจ็บทั้งใบหน้า แม้จะพยายามดิ้นรน หากทำได้เพียงบิดตัวไปมา ข้าไม่อาจขัดขืนปราถนาทารุนจากกายกำยำนั้นได้เลย เสื้อผ้าถูกดึงออกจากร่าง เสียงกระแอมไอที่ดังจากมุมห้องนั้นมาจากสภาพอากาศมากกว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้นจะสนใจสิ่งใด ข้ากรีดร้องออกไปเมื่อได้รับอิสระพอที่จะส่งเสียง หากหลายคนที่ขดตัวอยู่อีกมุมก็แค่ดึงผ้าห่มคลุมหัว ปล่อยให้เสียงจากความเจ็ปปวดของข้ากรีดก้องและจางหายไปในความมืดดำของคืนโหดร้ายนั้น...

          "อาเหมย... อาเหมย..." หญิงชรายังคงส่งเสียงแหบแห้งเรียกหา หากมีเพียงสายลมสะบัดกิ่งไม้ไหวตอบรับดุจเดิม หญิงสาวหันมองผู้ชราที่ยังคนเดินวนพลางส่งเสียง เธอคงได้แต่นิ่งมองกระทั่งผู้เฒ่าหันหลังจากไปพร้อมกับแสงตะวันที่เริ่มลับขอบฟ้า


          "ไม่ว่าอย่างไร ป่าลับแลแห่งนี้คือที่พักสุดท้ายของหญิงโชคร้ายทุกคน" ใบหน้าซีดขาวนั้นยังคงส่งเสียงด้วยสีหน้าเรียบเฉยดุจเดิม หญิงสาวหันมองดวงตาขาวขุ่นนั้นด้วยแววตาที่ไม่ต่างกัน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น