แหงนมองไปบนยอดกาวาง* ต้นสูงใหญ่นั่นแล้วผมได้แต่คิดว่าคงหมดหวัง เพราะทั้งต้นมีแต่ใบ ยกเว้นกิ่งเดียวที่ยังคงเห็นลูกกาวางเหลืองดกเป็นพวงนั่น
กาวางต้นนี้อยู่ในที่วัด และอยู่ห่างออกมาพอควร ใครต่อใครจึงมักมาเก็บได้โดยง่าย มันจึงโดนเก็บไปจนเกลี้ยง และกาวางกิ่งเดียวที่ยังมีเหลืออยู่นั่นเพราะว่ากิ่งมันทอดยาวออกจากต้นขนานไปกับพื้นดิน และสูงพอควร แถมมีคนมาตัดกิ่งแขนงที่ยื่นออกจากกิ่งนั้นไปช่วงหนึ่ง มันจึงเป็นกิ่งเดียวโล่งๆ ยื่นออกไป การจะไปเก็บลูกมันที่ปลายกิ่งอาจต้องเลียนแบบลิงเท่านั้น นั่นคือไต่ไปเหมือนไต่ราว คนโตอาจไม่เท่าไร แต่กับเด็กเก้าขวบและโดยเฉพาะเด็กขี้ขลาดอย่างผมนี่มันช่างยากเย็นยิ่งนัก
เมื่อวันก่อนมันยังเต็มต้นอยู่เลย วันที่เด็กๆ หลายคนพากันมาที่นี่ ไอ้ดำ มันเป็นเด็กที่ใครๆ ก็ยอมให้ และด้วยความกล้าบ้าบิ่นของมันวันนั้นมันจึงไต่ไปเก็บกาวางกิ่งนั้นโชว์เพื่อนๆ ใครๆ ก็ชมว่ามันเก่ง ผมเองก็ชื่นชมมันนะ ทั้งแอบอิจฉาและบอกกับตัวเองว่านั่นไม่ใช่เรา เราทำอย่างนั้นไม่ได้แน่ๆ ใช่... ผมได้แต่ยอมรับในความขี้ขลาดของตัวเอง
พี่สาวที่มาด้วยกันทำท่าผิดหวัง และคงต้องกลับบ้านกันมือเปล่า... แต่บางครั้งผมก็มีลูกบ้าเหมือนกันนะ ในขณะที่พี่สาวจะหันหลังกลับ ผมกลับปืนขึ้นต้นไม้นั้นโดยไม่คิดอะไร ความอยากได้มันมีมากกว่านี่นา
กิ่งกาวางนั้นอยู่สูงเหนือพื้นมากในความรู้สึก ผมคลานสี่ขาเหมือนลิง (ลิงนะครับ) ค่อยๆ ไต่ไป แล้วผมก็ได้รู้ว่ามันไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยสักนิด กิ่งมันมั่นคงสำหรับเด็กตัวเล็กๆ อย่างผม และกิ่งแขนงที่ถูกตัดออกมันก็ยังเหลือส่วนโคนไว้ให้จับยึดได้เป็นอย่างดี
วันนั้น ผมหิ้วกาวางกลับบ้านอย่างภาคภูมิใจ มันเป็นความภูมิใจของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ว่าผมก็ทำได้ ถึงแม้ไม่มีใครรู้ใครเห็นนอกจากพี่สาวก็เถอะนะ
แต่ผมก็ยังเป็นผมอยู่วันยันค่ำ เรื่องแค่นี้จะทำให้เปลี่ยนเป็นคนกล้าหาญได้น่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก เพราะถึงอย่างไรผมก็ยังเชื่อสนิทใจ ว่าผมไม่มีทางกล้าหาญเหมือนไอ้ดำหรือแม้แต่ใครๆ ได้อย่างแน่นอน.
*ลูกคล้ายมะปริง แต่เปลือกบางกว่า เปรี้ยวกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น