welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

นกน้อย


          ควันขาวเห็นได้จากกระท่อมชายทุ่ง หน้าเตาไฟนั้น น้อยนั่งทอดสายตาออกนอกชายคา เสียงโฆษณาจากวิทยุทรานซิสเตอร์ดังแทรกบรรยากาศยามเย็น ท้องฟ้าขมุกขมัวเมื่อตะวันสีหมากสุกลอยระยอดข้าว นกกาโผบินกลับรังเหนือเส้นขอบฟ้า ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา เสียงไฟปะทุในเตา หม้อข้าวกำลังจะเดือด แม่ก็กำลังเลิกงานกลับบ้านเช่นกัน น้อยรู้ได้จากเสียงย่ำกลองอันเปรียบเสมือนนาฬิกาของชาวนาชาวไร่ ที่ดังเป็นจังหวะข้ามทุ่งมาจากวัดซึ่งอยู่อีกฟากฝั่ง เด็กหญิงดันฟืนเข้าเตาก่อนจะหล่นเพราะถูกไฟลามเลียออกมา... เสียงเพลงประกอบละครดังจากวิทยุในเวลานี้ทุกวัน ช่างเข้ากับบรรยากาศโพล้เพล้หน้าหนาวจนทำไห้น้ำตาไหลออกมาได้โดยไม่รู้ตัว...
          "น้อย เป็นอะไรล่ะลูก" เสียงแม่ร้องทักทำให้เด็กน้อยสะดุ้งโหยง แม่มาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เลย
          "เปล่าจ้ะแม่" น้อยปาดน้ำตาพลางยิ้มกลบเกลื่อนและหลบตา อดอายแม่ไม่ได้เหมือนกัน
          "เปล่าอะไรเห็นนั่งร้องให้อยู่หน้าเตาไฟ อีเด็กคนนี้นี่" แม่ดุลูกสาว
          "แม่..." น้อยเงยหน้ามองแม่ที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว "หนูคิดถึงพ่อ คิดถึงบ้าน..." เธออยากจะพูดต่อหากรังแต่จะพานให้น้ำตาไหลออกมาเสียมากกว่า... บ้านที่เคยมีของเธอนั้นอยู่ห่างจากนี่มาก ที่นั่นมีทุ่งนากว้างใหญ่ ใหญ่กว่าทีนี่เยอะทีเดียว แม้จะกันดารแห้งแล้งกว่า แต่ที่นั่นก็อบอุ่นเสมอสำหรับเธอ หากแต่วันหนึ่งเมื่อไม่มีพ่อ ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนแปลง แม่ต้องขายที่นาก่อนจะโดนยึด และพาเธอดั้นด้นมาเรื่อย ตอนแรกก็มากับเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน ไป ๆ มา ๆ ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ในที่สุดก็เหลือเพียงเธอกับแม่เพียงสองคนที่พากันรอนแรมมาจนถึงนี่... ปีนี้เธออายุสิบสามแล้ว แต่ยังคงไม่ได้เรียนหนังสือต่อ เธอไม่จบปอสองด้วยซ้ำด้วยความที่ต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง และนั่นก็ทำให้เธอไม่ค่อยมีเพื่อนที่จะคบกันได้นานสักเท่าไร เหมือนตอนนี้ที่เธอก็ยังคงเป็นคนแปลกหน้าของที่นี่...
          "ทำไมล่ะลูก" แม่นั่งลงและเอื้อมมือลูบหัวลูกสาว
          "ไม่รู้สิแม่ หนูฟังเพลงนี้แล้วคิดถึงพ่อ อยากร้องไห้" เด็กน้อยพูดพลางพยายามยิ้มแห้งออกไป
          "อ๋อ เพลงนกน้อยนี่นะ" แม่ว่าพลางยิ้มขำ เธอกับแม่จะเรียกชื่อเพลงนี้ตามชื่อละครที่มาจากชื่อหนังอีกที "เพลงนี้น่ะเจ้าท่านแต่งเองเลยนะ" แม่พูดพลางเปิดฝาหม้อใช้ตะคันคนข้าวไปด้วย
          "นั่นแหละแม่ เหมือนชีวิตเราเลย ได้แต่รอนแรมเหมือนนกน้อย"
          แม่หันมองหน้าลูกสาว เหลือบมองปฏิทินข้างฝา ก่อนยิ้มออกมา
          "บางทีอาจเป็นเพราะพระองค์ท่านเข้าใจชีวิตของพวกเราก็ได้นะ" แม่บอกพลางยกหม้อข้าวรินน้ำ เด็กน้อยอดยิ้มตามแม่ว่าไม่ได้ เพลงนกน้อย เพลงที่บอกเล่าชีวิตของน้อย เด็กหญิงคิดไปตามประสาและอดทึกทักเอาจากคำพูดของแม่ไม่ได้ว่าเพลงนี้คือเพลงของเธอ...

          'นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย'

          'คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง'

          'ขาดมวลมิตรไร้คนสนิทคู่เคียงครอง'

          'หลงใหลหมายปองคนปรานี...'
         
          "คุณยายร้องไห้อีกแล้ว" เด็กหญิงพูดพลางเอียงคอมอง
          "จ้ะลูก แต่ยายไม่ได้เป็นไรนะ" น้อยปาดน้ำตาก่อนยิ้มให้หลาน เสียงเพลงซึ่งลอยมาจากไหนสักที่ทำให้น้ำตาเธอไหลออกมาได้
          "คุณยายไม่เป็นอะไรแล้วร้องไห้ทำไมล่ะคะ" เด็กหญิงยังคงซักถาม
          "จ้ะ ยายเสียใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายายเป็นอะไรนี่นา" เธอตอบและยังคงยิ้มให้เด็กน้อยที่ยังจ้องมอง
          "หนูไม่เข้าใจ" เด็กหญิงพูดพลางขมวดคิ้ว
          "หนูยังเด็กอยู่จ้ะลูก" บางทีเธอก็ต้องตอบแบบนั้นเมื่อไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรให้เด็กน้อยเข้าใจใด้

          'บ้านของเราคือประเทศไทย และพระองค์ท่านก็คือพ่อของพวกเราทุกคน' น้อยอดคิดถึงคำพูดของแม่เมื่อครั้งยังเด็กไม่ได้ ตอนนั้นเธอยอมรับว่าบางเรื่องเธอก็แค่พอเข้าใจเท่านั้น แม่บอกว่าบ้านคือประเทศไทย แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังอดคิดถึงบ้านที่จากมาไม่ได้อยู่ดี... หากแต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็เข้าใจอะไรได้มากขึ้นในสิ่งที่แม่บอก ไม่ว่าที่ไหนในประเทศนี้ก็สามารถเป็นบ้านที่ให้ความอบอุ่นได้เสมอ...
          'ลูกรู้ไหมว่าไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรเลย แค่เส้นพรมแดนกั้นกลางเท่านั้นแหละ ผู้คนที่นั่นต้องอยู่กันอย่างยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ต้องรบราฆ่าฟันกันเอง ลูกเห็นพวกที่อพยพเข้ามาไหม นั่นแหละสภาพของคนบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างแท้จริง พวกเขาต้องหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเพราะบ้านของเขากำลังลุกเป็นไฟ... จำไว้ นะลูก ไม่ว่าอย่างไรเราก็ยังมีบ้าน มีพ่อ' เมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็ปล่อยให้น้ำตาได้ไหลออกมาอีก... ไม่มีพ่อแล้ว...
          "คุณยายร้องไห้อีกแล้ว" เด็กหญิงตัวน้อยว่าพลางเอียงคอ
          "จ้ะลูก" น้อยยิ้มให้หลานทั้งน้ำตา คู่ชายหญิงกำลังเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อภายในบริเวณปั๊มน้ำมันแห่งนี้
          "ไปกันได้แล้วจ้ะยายหลาน" หญิงสาวร้องทักเมื่อใกล้เข้ามา
          "ไปจ้ะ" เธอบอกกับหลานพลางลุกขึ้นกระชับกระเป๋าสะพายไหล่ก่อนจูงมือเด็กน้อยออกมา

          "เราจะไปไหนกันคะ" เด็กหญิงยังไม่วายซักถามขณะที่รถแล่นไป
          "เราจะไปกันไกลมากเลยจ้ะ ที่นั่นบางทีหนูต้องหัดปั้นข้าวเหนียวเหมือนที่ยายต้องหัดกินข้าวเจ้าตอนยังเด็กนั่นแหละ"
          "หนูไม่เข้าใจ" เด็กหญิงตัวน้อยยังคงส่งเสียง
          "สักวันหนึ่งจ้ะ..." ยายตอบหลานสาว...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น