ผมชื่อโซะเธียอายุเก้าขวบ ผมมีกระบองคู่ใจอันหนึ่ง มันทำจากไม้ไผ่ ซึ่งผมจะถือติดตัวตลอดเวลาเลย
หมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอระตะนะม็อณฎอล ผมอยู่กับยายเพียงสองฅนที่นั่น พ่อ แม่ และพี่ชายของผมไปทำงานที่เมืองไทยกันหมด ผมเคยไปเมืองไทยหนหนึ่งเหมือนกันนะ...
ค่ำคืนนั้น เสียงเพลงฝรั่งจากร้านอาหารริมทะเลดังคึกคักทีเดียว ทุกสิ่งดูตื่นตาตื่นใจผมไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกองฟืนสุมไฟบนลานชิดหาดทรายซึ่งกำลังส่องแสงวูบวาบอยู่นี่ หรือแสงเทียนจากโต๊ะเตี้ยๆ ที่ตั้งรายล้อมอยู่นั่นก็ตาม นักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝรั่งตัวโตหัวแดงนั่นก็ทำให้ผมตื่นเต้นได้อีกเช่นกัน พวกเขาบ้างนั่งดื่มกินบ้างยืนล้อมชมการแสดงรอบกองไฟกันอยู่
ที่หน้ากองไฟนั้น โซะเภีย พี่ชายอายุสิบสี่ของผมกำลังทำการแสดงโชว์ควงกระบองไฟที่ผมไม่เคยเห็นเขาทำมาก่อน มันทำให้อดจะชื่นชมเสียไม่ได้ เหมือนว่าพี่ชายกำลังเล่นอยู่กับวงล้อไฟเลย ยิ่งเห็นนักท่องเที่ยวชื่นชอบการแสดงของเขาผมยิ่งภูมิใจ พี่ชายโยนกระบองขึ้นไปสูงที่เดียวและรับมันไว้ได้ เขาโค้งคำนับเมื่อจบการแสดง ทุกฅนปรบมือกันเกรียวเลย บางฅนก็มาขอถ่ายรูปด้วย ผมได้แต่ยิ้มมองพี่ชาย หากแต่จู่ๆ แหม่มฅนหนึ่งที่มาขอถ่ายรูบก็ก้มลงหอมแก้มพี่เภียเฉยเลย ทำเอาผมถึงกับตะลึงยกมือปิดตาไม่ทันทีเดียว
วันนั้นผมได้เล่นน้ำทะเลเป็นครั้งแรกด้วย ทะเลมันกว้างใหญ่และสวยงามกว่าที่คิดไว้มากเลยจริงๆ นะ
"แหวะ มันเค็ม" ผมร้องออกมาเมื่อได้รับรู้รสชาตินั้น พี่ชายก็ยังจะหัวเราะขำอีก
"เออสิ จะให้มันหวานรึไง" เขาตอบกวน
"ไม่รู้นี่..." ผมบ่นอ่อยๆ ออกมา เราเล่นน้ำกันจนเหนื่อยก็มานั่งกับพื้นมองดูคลื่นซัดทราย
"ทำไม มีไร" พี่ชายถามเมื่อผมมองหน้าเขาและอดยิ้มขำไม่ได้
"พี่โดนจูบด้วย" ผมทำปากยื่นใส่เขาตรงคำว่าจูบ แล้วก็หัวเราะ
"อิจฉาล่ะสิ" เขากลับทำกวนด้วยการเชิดใส่
"แหวะ!" ผมเบ้ปากร้องเสียงดังและทำท่าขยะแขยง แต่เขากลับเอามือมาขยี้หัวผมและหัวเราะร่า ผมไม่ยอมให้เขาทำฝ่ายเดียวหรอกต้องเอาคืนบ้าง เราจึงปล้ำกันอยู่บนหาดทรายนั่นแหละ
ยิ่งตกเย็นทะเลก็ยิ่งสวย ฟ้าเป็นสีทอง น้ำก็ระยิบระยับจากแสงตะวันเลยทีเดียว ผมอดคิดถึงบ้านไม่ได้ มันต่างจากที่นี่มากเลย ฝรั่งผมแดงนั่นก็เช่นกัน พวกเขาดูต่างจากเรามากทีเดียว ไม่ใช่แค่รูปร่างสูงใหญ่เท่านั้นด้วย...
"ทะเลสวยดีนะพี่" ผมพูดขึ้นระหว่างเดินกลับที่พัก
"อืม! พี่มาทีแรกก็ตื้นเต้นแบบเอ็งนี่แหละ" พี่ชายพูดพลางสะกิดให้ดูคู่ฝร้่งชายหญิงยืนจูบกันในน้ำพลางหัวร่อคิกคัก ผมล่ะอายแทนเลย
"ไอ้เธีย! ตื่นได้แล้ว" เสียงไก่ขันมาแข่งกับเสียงปลุกของยายแต่เช้า ผมงัวเงียตื่นขึ้นมานั่งงง ต้องทำอะไรก่อนนะ โยนผ้าห่มกองไว้ข้างฝาก่อนแล้วกัน หลังจากเอาวัวออกไปล่ามในทุ่งแล้วผมก็ตักน้ำจากบ่อมาลูบหน้า ใช้พลั่วตักขี้วัวใส่บุ้งกี๋หิ้วไปเทกองรวมกันข้างลานบ้าน นั่นแหละคืองานประจำทุกเช้าก่อนไปเรียนของผม
"ไอ้นี่! รีบแต่งตัวไปโรงเรียนสิ" ยายหันมาดุเมื่อเห็นผมยังคงแกว่งกระบองเล่น ผมวิ่งขึ้นบ้าน ซุกกระบองไว้ข้างฝาที่มีของวางอยู่เต็มนั่นแหละ กางเกงนักเรียนขายาวพาดอยู่บนราวเชือก ผมถอดชุดเก่าพาดราวไว้ หยิบกางเกงขึ้นมาสวม เสื้ออยู่ตรงไหนนะ ผมแหวกหาดู มันอยู่นี่เอง เมื่อหยิบกระเป๋าเก่าๆ มาสะพายหลังผมก็พร้อมแล้ว เสียงไอ้ดากับไอ้มุดเรียกมาพอดี ผมรีบลงบ้านรับเงินสองร้อยเรียล ยกมือไหว้ยายแล้วก็วิ่งออกมา
"น้ำทะเลมันเค็มนะ และทะเลมันก็ใหญ่มากด้วย" ผมโม้เรื่องเมืองไทยที่เพิ่งจากมาให้สองฅนนั่นฟังตลอดทาง รู้ว่าพวกมันต้องชอบฟังเพราะไม่เคยไปไทยกัน
"พี่ชายข้าเป็นนักควงกระบองไฟด้วยนะโว้ย" ตอนบ่ายหลังเลิกเรียนพวกเราก็ลงทุ่งไปดูวัวของเรากัน ผมยังไม่วายจะคุยอวดพวกมันหลังจากตักน้ำให้วัวเสร็จแล้ว ผมหยิบกระบองขึ้นมาควงให้พวกมันดู
"แค่นี้นะ" ไอ้ดาทำเสียงเยาะและทำสีหน้าเซ็งขณะถาม
"เออ ข้าทำได้แค่นี้แหละ เอ็งต้องเห็นพี่ข้า พี่ข้าเก่งนะโว้ย" ผมพูดพลางลองควงท่าง่ายๆ ที่พี่ชายสอน "เอ็งลองดูมั้ยล่ะ" ผมยื่นกระบองให้ ไอ้ดารับไปหมุนเก้ๆ กังๆ ผมกับไอ้มุดอดขำท่าทางของมันไม่ได้
"ไม่เอาหละ ไม่เห็นหนุกเลย" มันบอกพลางส่งไม้คืน ผมรู้ว่ามันอายที่ควงกระบองได้แย่กว่าผมเสียอีก
"เอ็งจะลองไหม" ผมถามไอ้มุดพลางส่งไม้ให้มัน
"เล่นน้ำกันดีกว่า" มันกลับหันหลังให้แล้วถอดเสื้อผ้าวิ่งออกไป ผมกับไอ้ดาจึงถอดเสื้อผ้าโดดลงน้ำตามมันไปเช่นกัน
"ฝรั่งนะมันตัวโตมากเลย ผมเป็นสีแดงด้วย" ผมเล่าเรื่องเมืองไทยให้มันฟังอีกระหว่างเดินไปโรงเรียนด้วยกันในเช้าวันนี้ แต่ไอ้ดากลับรีบสวนมา
"เอ็งคุยเรื่องอื่นเหอะ ข้าเบื่อเรื่องเมืองไทยแล้วว่ะ"
ผมหันมองไอ้มุด มันก็ได้แต่ยิ้ม ผมจึงต้องพยักหน้าและเดินตามพวกมันไปเงียบๆ
"มีเงาะขายด้วย" ไอ้ดาชี้มือให้ดูกองเงาะขนช้ำดำเหี่ยวที่ร้านค้าในโรงเรียน
"ซื้อมั้ย" มันหันมาถาม ผมส่ายหน้า
"เอ็งเอาเหอะ ตอนไปไทยข้ากินจนเบื่อแล้ว" มันสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มก่อนพากันไปซื้อเงาะเหี่ยวๆ นั่น
"ที่เมืองไทยนะ เงาะลูกใหญ่ๆ สดๆ กว่านี้ด้วย" ผมพูดขึ้น
"พอเหอะเอ็ง เมืองไทยอีกแล้ว" ไอ้ดารีบตัดบท ไอ้มุดก็พยักหน้ารับกันเป็นปี่เป็นกลอง ผมชักไม่พอใจเหมือนกันนะ
"ท่านี้ใช้มือเดียว บิดไม้กลับไปมา พร้อมกับเหวี่ยงซ้ายขวา" ผมหัดควงกระบองไปนึกถึงที่พี่ชายสอนไป ท่านี้ไม่อยากเท่าไร
"ท่านี้จับไม้ด้วยมือขวา บิดข้อมือ ยกแขนขึ้นด้านบน ใช้มือซ้ายรับไม้จากด้านหลัง บิดข้อมือ ลดแขนลงล่าง" ท่านี้ยากทีเดียว ผมยังทำได้ไม่ดีเท่าไร คงต้องพยายามให้มากขึ้น
"ไอ้เธีย! ไปเล่นน้ำกัน" เสียงไอ้มุดตะโกนมาแต่ไกล มันมาคนเดียวไม่มีไอ้ดามาด้วยวันนี้
"ขี้เกียจ" ผมตอบมันไปโดยไม่ได้หันมอง
"เอ็งก็บ้าแต่กระบอง จะควงไปทำไม" มันพูดเมื่อเดินมาถึง ผมหยุด จับกระบองทิ่มดินมองดูมัน
"ข้าจะเป็นนักควงกระบองไฟ ข้าจะไปอยู่เมืองไทย"
"เอ็งมันบ้า บ้ากระบอง บ้าเมืองไทย ไปมาหน่อยเดียวทำเห่อ" มันเยาะเย้ยทั้งสีหน้าและน้ำเสียงซึ่งผมไม่ชอบแบบนี้เลยจริงๆ
"เออ! ทำไม" ผมตะคอกกลับให้รู้ว่าไม่พอใจ "เรื่องของข้า เอ็งไม่ต้องมายุ่ง"
"ไอ้เซี้ยมบ้า" มันตะโกนใส่ก่อนวิ่งออกไป ผมหันมาควงกระบอกของผมต่อ แม้ความสนุกดูจะลดลงไปบ้างก็ตาม
"เราไม่จำเป็นต้องหมุนให้ไวมากนักก็ได้ ความกว้างของวง จะทำให้มองเหมือนว่ามันไว" คำสอนของพี่ชายยังคงดังอยู่ในหัว
"ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม" ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม จริงสินะ ผมน่าจะลองดูบ้าง วันนี้ยายไม่อยู่ด้วย เหมาะทีเดียว
หลังจากหาผ้ามาพันปลายไม้ทั้งสองด้าน เทน้ำมันจากตะเกียงลงไปแล้ว ผมก็จุดไฟ ยกขึ้นหมุนๆ
หน้ากองไฟลุกโชนท่ามกลางผู้คนรายล้อมนั้น เด็กชายเก้าขวบโชว์ควงกระบองไฟอย่างคล่องแคล่ว ผมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง นักท่องเที่ยวขอถ่ายรูปคู่เมื่อจบการแสดง อดแขยงขนไม่ได้เมื่อคิดว่าหากมีใครมาหอมแก้มในเวลานั้น... จู่ๆ เปลวไฟจากปลายไม้ ก็หลุดลอยไปทางครัวอย่างไม่ทันได้ระวัง ผ้าที่ผูกมัดไว้คงไม่แน่นหนาพอ ไฟติดในทันที ผมได้แต่มองดูเปลวไฟลามเลียหลังคาหญ้าด้วยความตกใจ
ไฟไหม้โหมแรงอย่างรวดเร็ว ผมยังคงยืนตัวสั่นขณะที่ชาวบ้านส่งเสียงเอะอะ หลายฅนช่วยกันเอาน้ำดับ แต่น้ำในตุ่มก็มีไม่เพียงพอ น้ำในบ่อก็อยู่ในระดับที่ลึกมาก การดับไฟจึงดูทุลักทุเลพอควร...
ในที่สุดชาวบ้านก็ช่วยกันดับไฟลงได้ แต่ครัวก็ไหม้หมด โชคดีที่บ้านไม่เป็นอะไร... ผมคงได้แต่ก้มมองกองเถ้าถ่านตรงหน้า รับฟังเสียงยายด่าทอพลางวาดฝ่ามือใส่เป็นระยะไปตามอารมณ์โกรธของแก ยาดหวดผมทั้งน้ำตา นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดในการกระทำ ผมจึงไม่คิดหลบเมื่อยายหยิบกระบองอันนั้นมาโขกหัวอย่างเหลืออด คงได้แต่ยืนนิ่งกระทั่งยายเหวี่ยงมันทิ้งไปในที่สุด
เวลาหลายวันผ่านไป กับความรู้สึกผิดที่ยังคงอยู่ในใจแม้ครัวจะได้รับการสร้างใหม่แล้วก็ตาม... ผมลืมกระบองของผมไปเลย ไม่อยากจะนึกถึงมันด้วยนั่นแหละ จนกระทั่ง...
ขณะที่เดินอยู่ปลายเท้าก็สะดุดโดยบังเอิญ กระบองของผม ผมก้มมองและหยิบมันขึ้นมา ปัดเศษดินที่ติดอยู่ออกไปแล้วลองจับควง หากแต่ความรู้สึกผิดที่ยังมีอยู่ทำให้ผมต้องเหวี่ยงมันทิ้งอย่างไม่ใยดี
"โอ๊ย!..."
ผมหันมองตามเสียงร้องที่ดังมาจากทางที่เหวี่ยงกระบองออกไป
"อะไรวะ มาถึงก็ปาไม้ใส่กันเลยเหรอ" พี่เภียนั่นเองที่กำลังเอามือลูบหัวพลางบ่นพึมพำ
"พีเภียมา!... พีเภียมา!..." ผมยิ้ม ร้องเสียงดังและวิ่งไปกอดเขาแน่นเลย
"พอ! พอ! ไม่ต้องดีใจมาก" พี่ชายเอ่ยปราม
"พี่จะอยู่นานไหม" ผมมองหน้าถาม
"นานไหม..." เขายังคงทวนคำพูดด้วยท่าทางกวนเหมือนเดิม "บางทีอาจจะนานสักหน่อย หรือไม่ก็ตลอดไป" นั่นทำให้ผมยิ้มได้อีก "พอพ่อรู้ว่ามีเด็กจะเผาบ้าน" เขาเอานิ้วมาจิ้มหน้าผม "ก็เลยให้พี่มาคอยดูแลไง" พี่เภียพูดพลางยักคิ้วใส่ "ความจริงตอนนี้มันไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวด้วยนั่นแหละ" พี่ชายอธิบาย
"ว่าแต่..." เขาพูดพลางก้มลงหยิบกระบองอันนั้นชูขึ้น "ไม่สนใจมันแล้วรึไง"
ผมยิ้มกว้างออกมาทันที.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น