welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: ฤทธิ์

 
          พ.ศ. ๒๕๓๐ ตะวันเพิ่งโผล่เหนือผืนนาได้ไม่นาน ไอหมอกรอบกายยังคงเห็นได้จางๆ อากาศกำลังเหมาะ ไอ้เซงยิ้มกริ่มขณะหันมาพยักเพยิดใส่ข้า ฝูงวัวของพวกมันเริ่มใก้ลเข้ามา ข้ากระตุกยิ้มมุมปาก พยักหน้าตอบมันอย่างรู้กัน ตอนนี้พวกเราก็แค่รออย่างใจเย็นกันเท่านั้น... กระทั่งพวกมันต้อนวัวเข้ามาจนได้ระยะ เห็นได้ว่ามันมากันห้าหกฅน เป็นจำนวนที่พอกันกับพวกข้า เหมาะทีเดียวกับสงคราม ไอ้เด็กตัวดำที่ดูจะโตและล่ำกว่าเพื่อนนั่นเราน่าจะรุ่นเดียวกัน มันชื่อเซือม เป็นหัวโจกในกลุ่มนั้น ไอ้ตัวเล็กที่ยืนถอดเสื้ออยู่ข้างมันนั่นข้าพอรู้ว่ามันชื่อฮน ตอนนี้พวกมันต่างหยุดยืน และดูท่าจะพร้อมแล้วเช่นกัน
          ข้าขยับหมวกให้เข้าที่ก่อนยกมือทักทาย ทันทีที่มันพยักหน้า หนังสติ๊กในมือก็ถูกเหนี่ยวและปล่อยลูกกระสุนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ข้าเหยียดยิ้มมุมปากอย่างสะใจเมื่อได้ยินเสียงร้องขณะพุ่งตัวหมอบกับคันนา ไอ้เซงและคนอื่นๆ ล้วนไม่รอช้า ต่างประจำที่และพร้อมใจเหนี่ยวหนังสติ๊กเข้าใส่พวกมันที่ยิงสวนกลับมาเช่นกัน สงครามหนังสติ๊กของเด็กอย่างพวกเรา ได้เริ่มขึ้นแล้ว...

          จรวดอาร์พีจีพุ่งจากเครื่องยิงพาหัวระเบิดไปทำงานกลางขบวนเดินเท้าของพวกมันอย่างแม่นยำ เป็นการสร้างความฮึกเหิมให้พวกเรา ขณะที่อีกฝ่ายต่างพากันอกสั่นขวัญหาย พวกข้าทำได้ดีทีเดียวสำหรับการเปิดฉากโจมตี ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไป เราฉวยโอกาสตอนพวกนั้นกำลังแตกตื่น กระหน่ำอาวุธเข้าใส่ไม่ยั้ง เสียงปืนปะทุลั่นป่า คมกระสุนของพวกข้าพุ่งข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง มันก็สู้กันยิบตาแม้จะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ข้าเหยียดยิ้มมุมปากขณะสาดลูกปืนให้ได้ลิ้มรสกันอย่างสะใจ

          ข้าชื่อเหริ่ด ถือกำเนิดในหมู่บ้านเล็กๆ ของจังหวัดเซียมเรียบ* ข้านั้นเติบโตท่ามกลางสงครามเฉกเช่นเด็กอื่นทั่วไป ทั้งแผ่นดินขแมร์ยามนี้การสู้รบเกิดขึ้นได้ทุกหนแห่ง ปืน! เป็นสิ่งที่ข้าได้สัมผัสกับมันมาตั้งแต่จำความได้ ข้าเห็นมันมีอยู่ทุกที่ แม้แต่ในห้องนอน เมื่อข้าโตพอจะหิ้วไปไหนมาไหนได้ มันก็อยู่ข้างกายข้ามาตลอด
          การทำนายังคงเป็นอาชีพหลักของพวกเราแม้ในยามสงครามเยี่ยงนี้ ครอบครัวของข้านั้นที่จริงก็ถือว่ามีฐานะหากเทียบกับชาวบ้านอื่นในละแวกเดียวกัน และข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบากอะไรมากนักในสภาพแบบนี้ นั่นเพราะข้าอาจคุ้นเคยอยู่กับมันจนชาชิน รวมถึงเสียงปืนเสียงระเบิด และการสู้รบซึ่งเกิดขึ้นใกล้หรือในหมู่บ้านของเราเป็นบางครั้งนั่นด้วย ข้าเห็นการสู้รบของพวกทหารมาตั้งแต่เด็ก และยังจำความรู้สึกของการอยากมีส่วนร่วมนั้นได้ดี มันน่าสนุก ใช่! มันน่าสนุกกว่าสงครามหนังสติ๊กของพวกข้ามากมายนัก
          จะว่าไปข้านั้นไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าใครจะรบกับใคร ทั้งไม่เคยคิดด้วยว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด ก็เหมือนที่ข้าใช้หนังสติ๊กไล่ยิงกันนั่นแหละ ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด และไม่เคยได้มีความโกรธแค้นอะไรต่อกัน ข้ารู้แต่ว่าเด็กพวกนั้นอยู่ฅนละหมู่บ้านกับข้า เมื่อเราโคจรมาเจอกัน แล้วอยากยิงกัน ก็เท่านั้น
          เช่นกันกับฅนอื่นๆ ในหมู่บ้าน พวกเขาก็ไม่เคยสนใจพวกที่รบกันไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน เพราะจะว่าไป ฝ่ายไหนก็ล้วนแต่เลือดเนื้อเชื้อขแมร์ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ว่าพวกไหนใครถือปืนเข้ามาเราต้อนรับหมด บางพวกอาจต้องการแค่เสบียง ก็เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่จะจัดการให้พวกเราหามาสนองต่อพวกเขา บางพวกต้องการกำลังพล พวกเขาก็จะมาคัดเลือกเอาฅนหนุ่มในหมู่บ้านของเราไป แน่นอนบางฅนก็เต็มใจ บางคนก็ไม่พร้อม ทั้งพวกที่กลัวตายและไม่ต้องการสู้รบก็มาก แต่หากเลี่ยงไม่ได้ทุกฅนก็ต้องเข้าร่วมกองทัพของพวกเขา เพื่อต่อสู้กับขแมร์อีกฝ่าย... ข้านั้นให้ขัดใจนักกับพวกที่กลัวตาย และให้เสียดายทุกครั้งที่มีการเกณฑ์คนในหมู่บ้านไปเป็นทหาร ด้วยเหตุที่ตอนนั้นข้ายังอายุน้อยและตัวเล็กเกินไป

          เราส่งเสียงโห่ฮาเมื่อขับไล่เด็กพวกนั้นออกไปได้แล้ว แต่วัวของพวกมันยังคงอยู่ที่นี่ พวกข้าจึงแค่ซุ่มรอพวกนั้นจากพุ่มไม้ตามโคกนี่เท่านั้น
          ท่ามกลางไอแดดร้อนระอุเหนือผืนนา พวกมันเริ่มปรากฎตัวออกมาด้วยชะล่าใจว่าไม่มีใคร และพากันเข้าสู่วงล้อมในทีสุด
          "ยิงมัน!" เมื่อสิ้นคำสั่งข้าเราก็โจมตีพวกมันจากทุกด้านในทันที พวกมันแตกตื่นเกินกว่าจะทันตั้งรับ จึงได้รู้รสชาติกระสุนดินเหนียวกันอีกฅนละหลายลูก ก่อนจะหนีฝ่าวงล้อมออกไปได้ ช่างสะใจยิ่งนัก...

          ข้าเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกไปกับเลือดในกายที่ฉีดพล่าน เสียงปืนเสียงระเบิดนั้นช่วยปลุกเร้าประสาทรับรู้ตื่นตัวถึงขีดสุด สำหรับข้าแล้ว ความตายเป็นสิ่งซึ่งไม่เคยนึกถึง ข้าโผจากไม้ต้นหนึ่ง ไปยังอีกต้น และอีกต้น รุกคืบเข้าไปพร้อมสาดกระสุนเข้าใส่พวกมัน แบบไม่ปล่อยให้มีโอกาสแม้แต่จะหันหลังกลับ พวกมันสู้แบบหมาจนตรอกแล้วในเวลานี้ และการจัดการกับหมาจนตรอกนั้นช่างน่ารื่นรมย์เสียยิ่งนัก เพียงแต่บางทีข้าอาจคิดผิด...

          ช่วงที่ประเทศของเรามีนายกรัฐมนตรีพร้อมกันสองคนนั้น ข้าก็เติบโตพอสำหรับการเป็นทหาร ตอนนั้นสงครามใกล้จบลงเต็มที พวกแดงถูกตีถอยร่นไปอยู่ติดชายแดนไทย พวกเวียดนามก็กลับบ้านของพวกมันกันหมดแล้ว และทั้งที่ตอนนี้ไม่มีการกวาดต้อนผู้คนไปเป็นทหารเหมือนก่อนก็ตาม แต่ข้าก็พร้อมสมัครใจเข้ามาเอง เพราะความน่าสนุกของการสู้รบมันฝังใจข้ามาตั้งแต่เด็ก และข้าก็เติบโตเกินกว่าจะเอาหนังสะติ๊กไปไล่ยิงกันแล้ว
          "เฮ้ย! เอ็งดูซิว่าใครมา" หันไปตามเสียงนั้นก็ได้เห็นพวกมัน ไอ้เซือมกับไอ้ฮนกำลังยืนยิ้มเผล่มองข้ากับไอ้เซงอยู่
          "ข้าน่าจะรู้นะว่าต้องได้เจอพวกเอ็งที่นี่" ข้าเอ่ยขึ้นหลังจากเข้าไปทักทาย
          "แต่ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเจอพวกเอ็งแน่นอน" มันพูดพร้อมพยักหน้าใส่และหัวเราะขึ้นมา เราได้แต่มองหน้าและหัวเราะใส่กัน เรื่องราวแต่ครั้งยังเด็กกลายเป็นเรื่องเฮฮาเมื่อถูกนำมาพูดถึง...

          สถานการณ์กลับพลิกผันเมื่อกองกำลังเสริมของพวกมันเข้ามาสมทบ เราถูกโอบล้อมและเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ข้ายังคงเหนี่ยวไกสาดกระสุนเข้าใส่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง หากคราวนี้กลับเป็นไปเพื่อยับยั้งห่ากระสุนที่พุ่งเข้ามาเสียมากกว่า คมกระสุนเหล่านั้นเฉียดฉิวถากหนังข้าไป ขณะที่เจาะทะลุร่างเพื่อนพ้องของข้าบาดเจ็บล้มตายทีละฅน ทีละฅน
          ไอ้ฮนถูกยิงลงไปกองกับพื้นขณะที่มีสัญญาณให้ถอย ไอ้เซงส่งสัญญาณมือบอกข้าว่าจะเข้าไปพามันกลับไปด้วยกัน ขณะที่ข้าเหนี่ยวไกรัวไม่ยั้งเพื่อคุ้มกันให้มันทั้งสอง และขณะที่ไอ้เซงวิ่งเข้าไป ไอ้ฮนซึ่งนอนหมอบกับพื้นก็ขยับร่างน้อยๆ เหนียวไกลั่นกระสุนใส่เพื่อนที่กำลังเข้าไปช่วยมันออกมา ข้าตะลึงชาไปทั้งร่างโดยฉับพลัน ไอ้เซงส่งเสียงร้องดังก่อนล้มคว่ำแน่นิ่ง มันสองฅนสิ้นลมพร้อมกัน...

          "ว่าไง" ไอ้เซือมเดินมาตบบ่าพลางนั่งลงข้างข้า
          "เปล่า" ข้าตอบไปแบบนั้น ตอบแบบไม่รู้จะตอบอะไรดี และยังคงจ้องมองควันไฟลอยกรุ่นขณะน้ำที่ต้มใกล้เดือด
          "เอ็งว่าไหม บางทีพวกเราก็ไม่ต่างจากหมาบ้า" จู่ๆ ข้าก็พูดขึ้นมา มันหันมองหน้าด้วยแววตาที่เรียบเฉยเกินคาดเดา "เปล่า" ข้าตอบเหมือนเดิมอีกครั้งเมื่อมันถามว่าทำไม บางทีมันอาจเป็นแค่ความรู้สึกที่สับสนเท่านั้น

          หลังจากความพ่ายแพ้ในคราวนั้นเราก็โหมโจมตีอย่างหนัก และบุกถึงที่มั่นของพวกมันในที่สุด หากดูเหมือนว่าคราวนี้เราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในด้านสมรภูมิ แต่พวกเข้าตีคงไม่สามารถเลือกอะไรได้มากนัก พวกข้าเตรียมพร้อมกันกลางดึก เสียงกระสุนปืนใหญ่ลอยข้ามหัวไปตกระเบิดยังฐานที่ตั้งบนยอดเขาของพวกมันอย่างแม่นยำ สักพักพวกกองหน้าก็บุกเข้าไปพร้อมกัน เสียงจากกระสุนชนิดต่างๆ ที่พวกเราสาดใส่กันดังลั่นราวป่าแตก
          เวลาผ่านไปเนิ่นนานจวบจนฟ้าสาง พวกมันยังคงตั้งรับอย่างเหนียวแน่นแม้โดนโจมตีอย่างหนัก ขณะที่เราเริ่มอ่อนล้า ยิ่งเป็นเวลากลางวันแบบนี้พวกข้ายิ่งเสียเปรียบ เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นพวกพ้องบาดเจ็บล้มตายทีละฅนต่อหน้าต่อตา
          ข้าข้ามศพที่นอนตายรุกคืบเข้าไป จากแนวหินนี้ โคนไม้ใหญ่ตรงหน้าดูจะเป็นทำเลชัยที่เหมาะกว่าสำหรับการต่อกรกับพวกมัน แต่ข้ารู้ดีว่าต้องระวัง เพราะท่ามกลางห่ากระสุนที่สาดใส่เข้ามานั้น ยังมีปากกระบอกปืนที่จับนิ่งจ้องเล็งมายังหัวของข้าอยู่ พวกมือเที่ยง** มันแค่รอเวลาให้เราเผลอกันเท่านั้น แต่อยู่ตรงนี้ก็เสี่ยงเกินไปแล้ว ข้ารอจังหวะกะว่าปลอดภัยจึงพุ่งตัวออกไป ไม่ทันจะถึงโคนไม้ด้วยซ้ำก็รู้สึกเสียวแปลบชายโครงและช่องท้อง ล้มลงในทันที ข้าถูกยิง เริ่มรับรู้ถึงความเจ็บขณะกัดฟันคว้าปืนรัวใส่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง ข้าเริ่มอ่อนแรงพร้อมกับรู้สึกว่าร่างถูกลาก ก่อนโดนจับเหวี่ยงขึ้นบ่าของใครคนหนึ่ง...
          ข้าพยายามเบิกตาขึ้นเมื่อถูกวางลง ไอ้เซือม มันนั่นเอง ไม่คิดว่ามันจะเข้าช่วยข้าในทันที ไม่ต้องใช้ยุทธวิธีอะไรเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกฎเรื่องอาวุธ
          "เอ็ง ไม่กลัวข้าจะยิงเอ็งรึไง" ข้ากัดฟันถามออกไปขณะเปลือกตาเริ่มหรี่ปรือลงอีก ความเจ็บปวดทำให้อ่อนแรงลงทุกที
          "เอ็งยิงข้ามามากพอแล้ว" มันตอบเรียบๆ เหมือนเคย ข้าพยายามเบิกตาขึ้นอีกครั้ง ทันได้เห็นรอยยิ้มจืดๆ ของไอ้เซือม ก่อนที่เศษเนื้อ มันสมอง และเลือดสดๆ จะพุ่งทะลักออกจากท้ายทอยของมัน มันพลาดให้พวกมือเที่ยงจนได้ ดวงตาข้าเบิกกว้างโดยอัตโนมัติ กลิ่นคาวคลุ้งมาก่อนที่สติจะวูบดับไป

          รถบรรทุกทหารที่วิ่งผ่านไปจะนับได้สักเท่าไรแล้วข้าคงไม่อยากใส่ใจนัก เพียงแต่ว่าในแต่ละคันนั้นอัดแน่นไปด้วยจำนวนทหาร ซึ่งถูกจับยัดโยนใส่ด้วยกันจนเต็มคันรถ คันแล้ว คันเล่า... เราใช้เวลากว่าสามวันกับยุทธวิธีของพวกเวียดนาม นั่นคือตายสิบเพิ่มร้อยตายร้อยเพิ่มพัน กว่าจะยึดฐานที่มั่นของพวกมันได้ จำนวนทหารซึ่งนำชีวิตมาถมทิ้งในคราวนี้ก็มากมายนัก ข้านอนมองรถที่วิ่งฝุ่นฟุ้งออกไปพร้อมสูดกลิ่นของพวกเขา สักคันหนึ่งคงมีไอ้เซือมอยู่ในนั้น ข้าได้กลิ่นของมัน

          พ.ศ.๒๕๔๐ สายลมร้องยังคงพัดผ่านผืนนาแล้ง ข้านั่งปั้นกระสุนดินเหนียวเพียงลำพัง อดที่จะหวนคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ขณะทอดสายตามองฝูงวัว นึกถึงสงครามหนังสติ๊กเมื่อครั้งยังเด็ก นึกถึงสงครามที่สาดกระสุนจริงเข้าพรากชีวิตซึ่งกันและกัน ข้านึกถึงมันด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ความฮึกเหิมต่างๆ ไม่เหลือแล้ว สงครามบ้าบอนั่นจะจบเมื่อไรอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เมื่อหายดีแล้วข้าก็ทิ้งปืน หนีทัพออกมา ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนักหรอกสำหรับการหันหลังให้สนามรบ มันไม่ต่างจากการเข้าเป็นทหารของข้านั่นแหละ และไม่ว่าชีวิตคืออะไร หากวันนี้คงยอมรับได้อย่างไม่อายว่าข้าก็รู้จักรักชีวิต รู้จักกลัวตายไม่ต่างจากคนอื่นเช่นกัน ข้ากลับมาทำนา เลี้ยงวัว ใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้ม บางทีอาจมีที่ไหนสักที่เบื้องหลังชีวิตนี้ ที่ซึ่งข้าจะได้เจอไอ้เซือม ไอ้เซง ไอ้ฮน รวมถึงไอ้พวกที่ข้าเคยลั่นกระสุนใส่มันนั่นด้วย เราจะมองหน้า ยิ้ม และระเบิดหัวเราะเข้าใส่กัน ใช่! ข้าอยากให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็เป็นเพื่อน  เป็นญาติ เป็นคนชาติเชื้อขแมร์ไม่ต่างกัน ที่สำคัญ เราไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นอะไรกันเลยนี่นา.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

*เสียมราฐ (siem reap)
**sniper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น