welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: วัฒนา


          พ.ศ. ๒๕๒๕ รถที่มาส่งเราวิ่งฝุ่นฟุ้งจากไปแล้ว ช่วงเวลาเพียงปีกว่าๆ ในสถานการณ์แบบนี้คงไม่ทำให้หมู่บ้านของผมเปลี่ยนแปลงสักเท่าไรนัก หากความรู้สึกต่างหากที่ทำให้ดูว่ามันไม่เหมือนเดิม ผมยืนเก้ๆ กังๆ พลางกระชับอาก้าที่สะพายอยู่ หันมองน้าเตียเพื่อนร่วมรบซึ่งมาด้วยกัน ก่อนหันไปยิ้มให้ภรรยาที่พามาด้วย
          "เดินไปอีกหน่อยก็ถึงบ้านพี่แล้ว" ผมบอกเธอก่อนเดินนำออกมา "เดี๋ยวไปบ้านผมด้วยนะน้า" และไม่ลืมหันไปตะโกนตามหลังน้าเตียที่แบกปืนสะพายเป้ไปอีกทาง

          "เฮ้ย! มีเมียมาด้วยรึวะ ไอ้ว็อด" ผมชื่อว็อดธะเนีย หากใครต่อใครมักจะเรียกเพียงสั้นๆ ว่าว็อด
          "เป็นทหารมาเป็นไงบ้างวะ!"
          "มากี่วัน กลับเมื่อไรล่ะ!"
          นั่นเป็นคำถามที่ผมต้องตอบซ้ำๆ มาตลอดทาง พวกเด็กๆ พากันหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นเราสองฅน มันเป็นความอบอุ่นของหมู่บ้านเล็กๆ ที่สัมผัสได้ในช่วงสงครามแบบนี้เลยทีเดียว... และไม่ว่าอย่างไร ผมคงอดเหลือบมองบ้านไม้สองชั้นข้างทางหลังนั้นไม่ได้ขณะเดินผ่าน...
          ปีกว่าแล้วสินะ ที่ผมได้เข้าร่วมกองทัพอย่างภาคภูมิใจในฐานะทหารอาสาสมัคร ด้วยวัยที่ยังไม่ถึงสิบหกด้วยซ้ำในตอนนั้น นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นฅนพิเศษ ต่างกับอีกหลายฅนที่ถูกบังคับให้มา ซึ่งพวกนั้นก็มักจะถามผมว่า 'ทำไมเราต้องมารบกันเอง'
          "ข้าก็ไม่รู้ ข้ารู้แต่ว่าพวกมันอยู่ฝ่ายตรงข้ามที่เราต้องเอาชนะ" ใช่ ผมตอบพวกเขาไปแบบนั้น เพราะเอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าเรารบกันทำไม รู้แต่ว่าต้องเอาชนะ เพื่อที่สงครามบนแผ่นดินนี้มันจะได้จบๆ ไปเสียที ตอนนั้นผมคงคิดได้แค่นั้นจริงๆ

          แม่และพี่ชายดีใจมากกับการได้กลับบ้านหนแรกของผม เพื่อนฝูงแวะเวียนมาหาเฮฮาครื้นเครงกัน
          "ดีนี่หว่า เป็นทหารหาเมียง่ายด้วย" ค่ำนั้นบนชานบ้าน ลุงมุดกล่าวพลางกระดกเหล้าเข้าปาก ผมยิ้มและหันมองภรรยาซึ่งกำลังช่วยแม่หุงหาอาหารในครัว เธอต้องลำบากมากทีเดียว อยู่ป่าอยู่ดงท่ามกลางสงครามด้วยกันมาตลอด
          "ไอ้ว็อดมันมีเมียทุกหมู่บ้านนั่นแหละ" น้าเตียหันไปบอกลุงมุด
          "น้อยๆ หน่อยเหอะน้า" ผมเอ่ยปรามในที
          "หรือไม่จริงล่ะ ไอ้ทหารหนุ่มรูปหล่อ ผ่านไปหมู่บ้านไหนสาวๆ ติดกันเกรียว" น้าเตียกลับยิ่งเสียงดังกว่าเก่า อาจเพราะฤทธิ์น้ำเปลี่ยนนิสัยนั่นด้วย แต่ที่แกพูดมาก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเหมือนกัน หน้าที่ของเราหลังฝึกเสร็จก็คือการออกลาดตระเวน เพื่อขับไล่กดดันฝ่ายตรงข้ามให้ถ่อยร่นออกไป นั่นทำให้เราได้พบปะผู้ฅนจากหมู่บ้านต่างๆ ตามเส้นทางไปด้วย และดูว่าชาวบ้านส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างที่จะชื่นชอบเราอยู่ทีเดียว โดยเฉพาะในหมู่ของหญิงสาวในแต่ละหมู่บ้าน แต่ผมก็ไม่ได้เจ้าชู้มากมายอะไรแบบที่น้าเตียแกว่านักหรอก เมื่อได้เจอภรรยาที่พามาผมก็ตัดสินใจแต่งงาน ความจริงมันเป็นเพียงการผูกข้อมือกล่วคำอวยพรของผู้หลักผู้ใหญ่เสียล่ะมากกว่า
          "ก็ดีนะ อยู่ป่าอยู่ดงก็ได้เมียมันนี่แหละหุงหาอาหารให้กิน ไม่งั้นคงได้ล่อแต่ข้าวแห้งแช่น้ำกัน" น้าเตียยังไม่ยอมจบเรื่องของผมสักที "เออ แต่บางทีก็พากันอดอยู่เหมือนกันนะ ไอ้มันนี่หรือก็ไม่เคยเห็นใจผู้หญิง พาบุกป่าฝ่าดงหอบหิ้วไปด้วยกันไม่ให้ห่าง"
          "อ้าว น้า! ผัวเมียมันก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ" ผมรีบค้านก่อนที่แกจะพล่ามไปมากกว่านี้
          "ที่เอ็งพูดน่ะมันก็ถูก" น้าเตียยังคงกล่าวต่อ "สามีภรรยามันก็ต้องอยู่ด้วยกัน ดูแลซึ่งกันและกัน แต่เอ็งน่ะมันมากไปหรือเปล่า กระเตงกันไปกลางสนามรบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนั้นน่ะ" น้าเตียจบคำพูดยืดยาวของแกด้วยการกระดกเหล้าเข้าปาก เรื่องนี้ความจริงผมเองก็คิดอยู่เหมือนกัน ว่าควรจะดูแลภรรยาให้ดีกว่านี้ ที่พามานี่ก็ได้ตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะให้เธอได้อยู่กับแม่เมื่อครบกำหนดวันต้องกลับกรมกอง
          "เอ็งนี่มีเมียไวกว่าพวกเลยนะ" ลุงมุดพูดขึ้นมาอีก
          "ใช่ๆ พวกเราอยู่นี่ยังหาไม่ได้กันสักฅน" คราวนี้เป็นไอ้เสกที่ช่วยเสริมคำพูดลุงมุดจากเปลญวนที่ผูกอยู่กับเสา
          "จะว่าไปเอ็งนี่มันมีเมียก่อนพี่อีกด้วย" ลุงฮุนผู้นั่งเงียบฟังเราคุยกันมานานออกความเห็นขึ้นมาบ้าง
          "แล้วเรื่องพี่กับจันธรล่ะครับ" ผมหันไปถามพี่ชายซึ่งยังคงนั่งยิ้มอยู่ข้างวงเหล้า
          "ไอ้ผู้ช่วยเจือนมันบังคับอีจันธรแต่งกับลูกกำนันไปแล้ว" ลุงมุดเป็นฝ่ายตอบแทนพี่ชายขึ้นมา... ตาเจือน แกกีดกันความรักของพวกเขาทั้งคู่จนได้สินะ ผมอดคิดถึงเรื่องนั้นไม่ได้...

          พี่ชายผมกับจันธรรักกันใครๆ ก็รู้ แต่ที่ผมไม่รู้ก็คือตาเจือน ไม่รู้ว่าแกมีเรื่องแค้นเคืองอะไรต่อพ่อผมนัก ขนาดที่ว่าพ่อตายไปหลายปีแล้วแกยังไม่คลายความชิงชังที่มีต่อพวกเรา ความรักของพี่ชายผมกับลูกสาวแกจึงถูกกีดกันมาโดยตลอด
          "ตอนที่ผ่านบ้านแกมารู้สึกว่าจะไม่เห็นนะ แกอยู่ไหม" ผมตั้งข้อสังเกตพร้อมคำถาม
          "มันจะกล้าอยู่รึ! พอผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเอ็งจะมา มันก็หนีไปบ้านญาติมันแล้ว" ลุงมุดเป็นฝ่ายตอบอีกเช่นเคย

          ผมยังคงจำเรื่องราวที่ผ่านมานั้นได้ดี วันที่ต้องแปลกใจเมื่อกลับจากโรงเรียนแล้วได้เห็นตาเจือน พร้อมฅนแปลกหน้าอาวุธครบมือบนบ้านของเรา มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
          "เขาจะเอาพี่เอ็งไปเป็นทหาร" ผมสะอึกกับคำที่แม่บอกทั้งน้ำตา  บ้านของเรามีกันเพียงสามฅน แม่ผมแก่มากแล้วหนำซ้ำยังพิการอีกด้วย ขาข้างหนึ่งของแกลีบเล็กมาแต่กำเนิด หลังจากพ่อตายแม่ก็เลี้ยงเราสองพี่น้องมาด้วยความยากลำบาก เมื่อโตขึ้นพี่ชายก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในบ้านมาตลอด ขณะที่ผมเองนั้นยังเรียนอยู่เลย ในสภาพสงครามแบบนี้หากขาดพี่ชายบ้านเราคงต้องลำบากกว่าเดิมมาก แต่ตาเจือนดูจะไม่ยอมรับรู้หรือสนใจอะไร เพราะต้องการแยกพี่ผมออกจากลูกสาวนั่นสินะ แกถึงได้พาฅนมาจับพี่ชายไปเป็นทหาร ทั้งที่โดยปกติแล้วผู้ใหญ่บ้านจะคอยบอกคอยเตือนพวกเราล่วงหน้าเสมอ หากว่าวันไหนจะมีการมาหาจับตัวฅนในหมู่บ้านแบบนี้...
          "ผมขออาสาสมัครเป็นทหารเองครับ" ผมตัดสินใจในเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนที่พี่ชายจะถูกนำตัวไป หลังจากตัดสินใจกันสักพักพวกเขาก็ยอม
          "วันไหนที่กูกลับมา มึงตาย!" ผมหันไปส่งเสียงลอดไรฟันบอกตาเจือนก่อนตามพวกเขาขึ้นรถไป

          ครบกำหนดเจ็ดวันแล้วแต่ผมยังไม่ได้กลับกรมกอง เพราะต้องดูแลภรรยาที่เกิดไม่สบายขึ้นมานั่นแหละ และนั่น ทำให้ผมได้พบกับแก ตาเจือน การออกมาหายาต้มให้เมียของผมทำให้เราทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากัน...

          ท่ามกลางอากาศอบอ้าวระอุกลางทุ่งวันนั้น ตาเจือนยืนหน้าซีดอยู่ตรงหน้า ผมแบกอาก้าอยู่บนไหล่ แกดูตื่นทีเดียวเมื่อผมยกปืนออกจากบ่า
          "สวัสดีครับลุง" ผมพนมมือไหว้ขณะที่แกยังมองด้วยสายตาคลางแคลง
          "เอ็ง ไม่โกรธข้า แล้วรึ" ตาเจือนตะกุกตะกักถามออกมาในที่สุด
          "มันคิดได้มากกว่า" ผมตอบ เว้นจังหวะชั่วขณะก่อนกล่าวต่อ "ฅนเราต่างมีหน้าที่ ที่ผมต้องจับปืนรบรากันนั่นก็ด้วย"
          ลมเย็นพัดมาพอช่วยบรรเทาไอร้อนขณะที่ตาเจือนดูผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
          "ความจริงต้องขอบคุณลุงเสียอีก ที่ทำให้ผมเติบโตขึ้นไม่ใช่เด็กอารมณ์ร้อนแบบเมื่อก่อน" ผมบอกกับแกตามที่คิดได้ในตอนนี้จริงๆ การโกรธแค้นไม่ควรเป็นหน้าที่ของเราสองฅน และบางที ความต้องการแต่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน คงไม่อาจที่จะยุติสงครามในใจของพวกเราได้หรอก ผมยิ้ม เป็นครั้งแรกที่ผมมีความสุขเมื่อสบตาแก.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น