welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: ดวงจันทร์


          ดูจะไม่ใช่ท่าทีที่สบายสักเท่าไรนักหรอก กับการต้องหมอบคุกเข่าพนมมือศอกแนบพื้นตลอดเวลาอยู่อย่างนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็คงยินดีจะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แม้การไร้ซึ่งความมั่นใจจะยังผลให้ความตื่นเต้นประหม่าแผ่ซ่านทั่วร่างจนรู้สึกได้ก็ตาม ยิ่งเมื่อมองดูสองมือที่พนมชิดใบหน้ายามนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นผสานรวมหลายความรู้สึกเข้าห่อหุ้มจิตตนเป็นยิ่งนัก ได้แต่แอบทอดถอนใจให้กับฝ่ามือและแขนขวาซึ่งลีบเล็กอย่างเห็นได้ชัดของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อมันถูกนำมาเทียบกับแขนซ้ายแบบนี้

          "ทำไร" กว่าจะรู้ตัวว่าโง่มาก ผมก็หลุดคำถามนั้นออกไปแล้ว ช่างเป็นคำถามที่ดูเฉิ่มเชยสิ้นดี กับการถามแม่ค้าที่นั่งขายของอยู่ว่าทำอะไร
          "เปล่า..." ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ต่างจากรอยยิ้มก่อนตอบของเธอ นั่นทำให้ผมยิ่งเก้อเขิน ดวงจันทร์ของผม เธอยังคงเหมือนสายน้ำลึกท่ามกลางความมืดมน ผมไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจนั้นได้เลย จึงทำได้เพียงแต่ยิ้มแห้งออกมาเท่านั้น และจนป่านนี้แล้วผมยังอดที่จะประหม่ากับการเริ่มต้นพูดคุยกับเธอเสียไม่ได้
          จะเรียกว่าผมรู้จักเธอมานานแล้วก็น่าจะใช่ หากแต่ผ่านการแอบมองยามเธอปั่นจักรยานไปตลาดเพื่อหาซื้อของมาขายต่อเสียมากกว่า เธอชื่อจันธู หญิงฅนที่ผมได้แต่แอบมองจากเปลญวนผ่านใต้ถุนบ้าน พร้อมกับลูบแขนข้างที่ลีบเล็กของตัวเองไปด้วย สงครามสร้างให้ผมเป็นชายพิการ ต้องพลัดพรากจากครอบครัวอย่างโหดร้ายตั้งแต่เด็ก เมื่อสงครามสิ้นสุดผมก็ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากชีวิตไม่สมประกอบนี่เท่านั้น โชคดีมีคนใจบุญรับเป็นลูกบุญธรรมและให้ที่อยู่เลี้ยงดู แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ได้ชื่อว่าเด็กพิการกำพร้าอยู่ดี และแม้ว่าตอนนี้ผมจะอายุสามสิบกว่าแล้วก็ตาม หากความไม่มั่นใจนั้นคงไม่เลือกวัยเช่นกัน

          หลังยิ้มแห้งอยู่สักพักผมก็หย่อนตัวลงบนม้านั่งหน้าร้าน แน่นอนว่าท่าท่างนั้นมันดูเก้งก้างเงอะงะแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกได้ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่มักจะวางตัวไม่ถูกในทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้เธอ แม้แต่ตอนนี้ก็เถอะ ด้วยความรู้สึกว่าเรานั้นช่างต่างกันมากมาย เธอคือแม่ค้าสาวสวย ร้านค้าเล็กๆ  ของเธอมักไม่ขาดชายหนุ่มมานั่งจับจองพูดคุย แต่ละคนล้วนเหนือกว่าผมมากมาย ลูกกำนัน ตำรวจ ทหารก็มี ผมซึ่งเป็นเพียงชายพิการฅนหนึ่งจึงแทบไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเลยจริงๆ

          ตอนเพลวันนั้นกับการนั่งรับประทานอาหารมื้อแรกในระหว่างวันของเรา มันเป็นมื้อแรกเพราะสงครามสอนให้เรารับประทานอาหารกันวันละสองมื้อ
          "เอ็งนี่อายุเยอะแล้วนะ อยากมีเมียไหม แม่จะไปขอให้" จู่ๆ แม่บุญธรรมก็ทำให้ผมตกใจกับคำถามที่เอ่ยขึ้นอย่างฉับพลันนั้น "ขายข้าวโพดได้ก็มีเงินขอเมียแล้ว น่าจะเหลือเป็นแสนแหละนะ" แม่บุญธรรมพูดถึงข้าวโพดที่ให้ผมปลูกในที่ดินของแก แต่เงินแสนสองแสนเรียล มันไม่น้อยเกินไปสำหรับการจะขอใครสักฅนมาแต่งงานด้วยหรือ โดยเฉพาะฅนพิการอย่างผมนี่
          "ใครจะเอาผม" ผมตอบออกไปตามความรู้สึกที่มี
          "เอาเถอะน่าเดี๋ยวแม่จัดการให้" แม่บุญธรรมพูดและกินข้าวไปโดยไม่หันมองด้วยซ้ำ "ฅนดีและขยันแบบเอ็งใครก็เอาทั้งนั้นแหละ"
          "แม่เขาจะไปขอจันธูให้พี่" น้องสาวของผมซึ่งเป็นลูกสาวของแม่บุญธรรมพูดเสริมขึ้นมา แทบสำลักข้าว ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินและได้แต่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่นอน ในขณะที่ฅนอื่นๆ ก็ได้แต่ยิ้มจนผมต้องหลบสายตาพวกเขา

          "พี่ไม่ต้องห่วงหรอก แม่แกรู้ดี" เป็นคำพูดของน้องสาวเมื่อผมถามเกี่ยวกับเรื่องที่แม่พูดในวงข้าววันนั้น ซึ่งผมคิดว่าแกคงพูดแค่ให้ผมสบายใจเสียมากกว่า แม้ผมจะเคยพบจันธูนอกจากแอบมองผ่านใต้ถุนบ้านบ้าง แต่เท่าที่จำได้คือเราแทบไม่ได้คุยกันเลย ผมจะแน่ใจได้อย่าไรว่าเธอจะคิดอย่างไรกับผม...

          หลังจากนั่งหมอบคุกเข่าพนมมืออย่างเนิ่นนาน ในที่สุดผู้ใหญ่ของผมกับแม่ของเธอก็ตกลงกันได้ ทั้งเรื่องค่าสินสอดและกำหนดวันแต่งงานระหว่างเราสองฅนเสร็จสรรพ โดยที่ผมไม่ได้เห็นหน้าหรือยินเสียงของเธอเลยด้วยซ้ำในวันนั้น...

          จันธูยังคงก้มหน้าขณะที่ผมยังวางตัวไม่ถูก มันน่าขัน แม้เราจะกลายเป็นคู่หมั้นกันแล้วก็เถอะ แต่เธอกลับทำให้ผมยิ่งประหม่าได้ทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้
          "จันธู" ผมรวบรวมความกล้าในการเรียกชื่อออกไป เธอเงยหน้ามอง รอยยิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปากยังคงเป็นสิ่งที่ผมไม่อาจแปลความรู้สึกนั้นได้ "ไปดูคาราโอเกะกันไหมคืนนี้" คาราโอเกะที่ผมพูดถึงก็คือบ้านฅนรวยที่มีเครื่องปั่นไฟ มีทีวี และมีเครื่องเล่นวีดีโอซีดี พวกนั้นจะเปิดซีดีเล่นคาราโอเกะเพื่อเก็บเงินจากฅนที่ไปร้องเพลง นอกจากลานรำวงแล้ว ก็มีคาราโอเกะนี่แหละทีเป็นสถานบันเทิงของเราในยุคหลังสงครามแบบนี้ หากเธอกลับส่ายหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ...
          เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปตามทางของมันอย่างเงียบงัน
          "จันธู" ผมเรียกชื่อเธออีกครั้งกับน้ำเสียงที่พยายามควบคุมความรู้สึก ตัดสินใจพูดในสิ่งที่อยากพูดออกไป "เธอคิดอย่างไรกับเรื่องของเรา หากเธอไม่เต็มใจ..." ผมคงได้แต่ค้างอยู่แค่นั้น ไม่กล้าแม้จะมองหน้าขณะที่ถามออกไป เธอเงียบ เงียบจนผมรู้สึกอึดอัด เนิ่นนาน... จันธูจ้องมองอยู่แล้วเมื่อผมหันไป
          "ทำไมคิดแบบนั้น" ผมไม่รู้จะตอบคำถามของเธอได้อย่างไร คงได้แต่จ้องหน้าแล้วยิ้ม ยิ้มให้กับแววตาระคนขันที่มองจ้องมา.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น