"เขาว่าจีบแม่ค้า เขาว่าบ้ารำวง..."
ขออนุญาตขึ้นต้นด้วยบทเพลง 'แม่ค้าแม่ขาย' ซึ่งเป็นเพลงเก่าๆ ของนักร้องยุคก่อนอย่าง 'กังวาลไพร ลูกเพชร' กันสักหน่อย เพลงนี้ถือเป็นเพลงโปรดแต่ครั้งยังเด็กของผมเลย ไม่ทราบว่ามีใครเกิดทันหรือยังจำกันได้บ้าง หรือจะมีแต่ผมที่แก่แต่ผู้เดียวเสียก็ไม่รู้ ฮ่า
บทเพลงที่ว่านี้นอกจากเป็นเพลงโปรดของผมแล้วยังถือเป็นบันทึกวิถีชีวิตในอดีตที่เลือนหายไปกับการเวลาด้วยเช่นกันครับ วิถีที่ว่าก็ตรงตามเนื้อเพลงท่อนแรกนั้นเลย 'จีบแม่ค้า บ้ารำวง' นั่นแหละครับ
มาว่ากันด้วยเรื่องบ้ารำวงกันก่อน เท่าที่ทราบนั้นรำวงพัฒนามาจากรำโทน ซึ่งก็หลายปีดีดักก่อนผู้เขียนจะเกิดกันนานเลยทีเดียว ดังนั้นเรามาว่ากันในยุคสมัยที่ผู้เขียนเกิดทันจะดีกว่า... สมัยที่ผู้เขียนยังเด็กมากๆ นั้นแน่นอนว่าสภาพโดยรอบจะยังคงมีแต่ป่าดง ความเจริญยังอยู่ห่างไกลเต็มที หนังกลางแปลงนานครั้งจะมีเล็ดลอดมาถึงหมู่บ้านของเราสักครา มหรสพสมโภชงานประจำปีของวัดในหมู่บ้านที่ดีที่สุดก็คือรำวง ซึ่งก็จะไม่แตกต่างจากรำวงย้องยุคในปัจจุบันสักเท่าไร จะผิดก็แต่ว่ารำวงย้อนยุคในปัจจุบันนั้นไม่ทราบว่าได้นางรำมาจากยุคไหน แฮ่...
แม้จะเรียกว่ารำวงแต่ไม่ว่าอย่างไรเวทีรำวงก็มีการเต้นอยู่ร่วมด้วยเสมอ และจังหวะสำหรับการเต้นนั้นก็มีหลากหลายทีเดียว ไม่ว่าจะแบบไทยๆ อย่าง 'ตะลุง' 'ม้าย่อง' หรือจังหวะสากลยอดฮิตอย่าง 'ชะชะช่า' (Cha cha cha) ที่เรานิยมเรียกว่า 'สามช่า' กันนั่นแหละ 'โซล' (Soul) ก็เป็นอีกหนึ่งจังหวะที่ฮิตไม่แพ้สามช่าเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีจังหวะ 'รุมบ้า' (Rumba) บีกิน (Beguine) 'ซานตาน่า' (Santana) และอีกมากมาย ส่วนตรงนี้ไม่ทราบว่าที่อื่นจะมีเหมือนบ้านผมไหมนะ บ้านของผมนั้นนอกจากจังหวะต่างๆ ที่ว่ามาแล้วยังมีอีกหนึ่งจังหวะ นั่นคือ 'ดาวล้อมเดือน' จังหวะนี้จะพิเศษหน่อย ถือว่าเป็นสีสันของงานเลยก็ว่าได้ อย่างหนึ่งก็คือคนที่ได้เต้นจังหวะนี้มักไม่ได้สมัครใจ แต่จะเป็นการบังคับกันกลายๆ มากกว่า จังหวะดาวล้อมเดือนนี้จะเริ่มเล่นได้ก็ต้องมีคนเหมารอบ แต่ไม่ได้เหมาเพื่อเต้นเองแต่อย่างใด หากจะระบุเลยว่าเหมาจังหวะดาวล้อมเดือนให้ฅนนั้นฅนนี้ขึ้นไปเต้น และถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่ผู้ถูกระบุชื่อจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ นอกจากจะยอมเสียค่าปรับ และหากขึ้นไปรำกองเชียร์ก็จะเล่นเพลงรำวงซึ่งมีชื่อว่า 'ดาวล้อมเดือน' ที่มีเนื้องร้องว่า 'ดาวล้อมเดือน เตือนหัวใจเศร้าหมอง...' อะไรประมาณนั้น โดยการรำผู้ที่ขึ้นไปรำจะอยู่ตรงกลาง โดยมีเหล่านางรำซึ่งสวมกระโปรงบานรำเป็นวงล้อมรอบ (เหมือดาวล้อมเดือนจริงๆ ) และเมื่อจบเพลงนางรำก็จะขังฅนที่ถูกล้อมนั้นด้วยการจับมือกันเอาไว้ การจะทำให้ยอมปล่อยตัวลงจากเวทีได้ก็ต้องยอมจ่ายเงินเป็นค่าไถ่ เรียกว่ารำหรือไม่รำก็เสียเงินอยู่ดี ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเลือกที่จะขึ้นไปรำกันมากกว่า เพราะไหนๆ ก็เสียเงินแล้วได้สนุกสักหน่อยก็ยังดี และฅนเหมารอบให้ขึ้นไปรำนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่สนิทกันดีนั่นแหละ จึงไม่มีใครถือสาอะไรนอกจากเฮฮากันไปเท่านั้น
ส่วนการรำวงโดยทั่วไปสมัยนั้นถือว่ามีความสุภาพกันมากทีเดียว ลูกค้าที่ส่วนใหญ่คือบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายเมื่อยื่นบัตรหน้าบันไดและขึ้นไปบนเวทีแล้ว หมายตาใครไว้ก็ตรงไปโค้งเป็นการขอรำวงหรือขอเต้นด้วย ระหว่างรำหากมีใครขึ้นมาโค้งขอรำแทนฅนที่รำอยู่ก็ต้องเสียสละออกจากเวทีไป ถือเป็นอีกหนึ่งธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแบบนั้นครับ
มาว่ากันที่จีบแม่ค้าบ้าง เมื่อมีงานมีมหรสพก็ต้องมีแม่ค้านำของมาขายให้กับผู้ที่มาเที่ยวงาน พวกถั่วต้ม อ้อยควั่นประมาณนั้น และน่าจะถือว่าเป็นประเพณีปฏิบัติอีกเหมือนกันที่แม่ค้างานวัดสมัยนั้นจะต้องเป็นสาวโสด ใครมีลูกสาวจะได้เปรียบก็ตรงนี้แหละ ที่ว่าต้องเป็นสาวโสดเพราะว่าสมัยนั้นการจีบแม่ค้าดูจะเป็นอีกหนึ่งธรรมเนียมปฏิบัติเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากเพลง 'แตงเถาตาย' ของ 'ไวพจน์ เพชรสุพรรณ' อีกหนึ่งเพลงที่จะพูดถึงการจีบแม่ค้า ซึ่งหากวิเคราะห์เพลงนี้จะเหมือนมีการตัดพ้อด้วยว่ามีสามีแล้วยังมา (หลอก) เป็นแม่ค้าอะไรแบบนั้น
และตามเพลงแม่ค้าแม่ขายนี้ก็จะเปรียบเปรยประมาณว่าการจีบแม่ค้ากับการหลงรักนางรำนั้นไม่ต่างกัน เพราะต่างต้องใช้เงินเข้าทุ่ม จีบแม่ค้าก็ต้องหมั่นอุดหนุม บ้ารำวงก็ต้องหมั่นซื้อบัตรซื้อตั๋วขึ้นไปรำ ที่สำคัญทั้งแม่ค้าและนางรำนั้นต่างมีตัวเลือกมากมาย สุดท้ายส่วนใหญ่ก็จึงหมดตัวกันไปฟรีๆ เสียเท่านั้น
ครับ ที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือวิถีชีวิตส่วนหนึ่งในอดีตที่หลายฅนอาจลืมเลือน และอีกหลายฅนอาจไม่เคยได้รับรู้เท่านั้นครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น