"ลงแขก" หลายคนอาจยิ้มเมื่อได้ยินคำนี้ เพราะจะพาลนึกไปถึงอีกความหมายหนึ่งในด้านลบ ทั้งที่จริงแล้วการลงแขกนั้นถือได้ว่าเป็นประเพณีอันดีงามของไทย ซึ่งกลายเป็นตำนานไปแล้วในปัจจุบัน
ประเพณีลงแขกคือประเพณีซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจ ความรักใคร่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ของสังคมชนบทในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี... ย้อนอดีตไปสักสี่ห้าสิบปี ครั้งที่ผมยังเป็นเด็ก ผู้คนตามชนบทชายแดนถิ่นที่ถือกำเนิดนั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนประกอบอาชีพทำนา ซึ่งโดยมากก็จะทำกันแค่พอกิน หรือพอที่จะแบ่งปันกันกิน ไม่ได้มีเหลือขายหรืออะไรกันนักหรอก
อาชีพเสริมที่พอจะทำให้ได้เงินใช้กันบ้างก็คือการหาของป่า เช่นหวาย เปลือกสีเสียด เร่ว หรืออะไรที่ตามแต่พ่อค้าจะต้องการ บ้างก็เป็นพรานป่าล่าสัตว์ แต่เก้งกวางที่หาได้ก็จะหนักไปทางแบ่งกันกินเสียมากกว่าที่จะซื้อขายอีกเช่นกัน และต่อมาก็มีการทำไร่มันสำปะหลังอะไรกันบ้าง
สมัยนั้นเงินทองจะค่อนข้างหายากเลยทีเดียว แต่เราก็ใช่ว่าจะลำบากลำบนอะไรกันนัก เพราะจะว่าไปเราก็ดูจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินกันสักเท่าไร ด้วยความที่ป่ายังอุดมสมบูรณ์ ทุกสิ่งอย่างที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตล้วนหาได้จากป่า ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ที่อยู่อาศัย หรือหยูกยารักษาโรค ล้วนหาได้จากป่า จะมีก็แต่เครื่องนุ่งห่มเท่านั้นที่เราต้องซื้อหากัน ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะแค่ปีละครั้งในหน้างานบุญเท่านั้นที่เราจะมีชุดใหม่มาใส่อวดกัน
และด้วยความที่เงินทองค่อนข้างหายากนี่เอง การจ้างงานซึ่งต้องใช้เงินจึงไม่ค่อยจะมีกันสักเท่าไร การลงแขกจึงเหมาะกับสังคมของเราในยุคนั้น ไม่ว่าจะดำนา เกี่ยวข้าว นวดข้าว เราใช้วิธีลงแขกกันทั้งนั้น หรือแม้แต่ไถนาซึ่งบางทีเราก็ใช้วิธีลงแขก แต่จะไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันสักเท่าไรสำหรับการลงแขกไถนา เพราะไม่ใช่ช่วงเร่งด่วนอะไร
อย่างที่บอกว่าการลงแขกนั้นแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีปรองดองได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะมีการลงแขกก็จะต้องตกลงกันก่อนว่าบ้านใครจะลงแขกวันไหน ก่อนหลังอย่างไร และเมื่อถึงวันนั้น คนทั้งหมู่บ้านก็จะพร้อมใจกันมาช่วยงานที่บ้านเจ้าภาพ (เรียกว่ามาเอาแรง และใช้แรง) บางทีก็มีแขกจากต่างหมู่บ้านมาร่วมด้วย เหมือนงานชุมนุมหมู่บ้านอย่างไรอย่างนั้นเลย
ซึ่งคนที่สนุกที่สุดในวันลงแขกก็เห็นจะได้แก่เด็กๆ อย่างพวกเรานั่นแหละ บ้านไหนที่มีการลงแขกเราก็จะไปรวมตัวกันที่นั่น นับว่าเป็นการรวมมิตรของเหล่าบรรดาเด็กๆ ไปด้วยเหมือนกัน ขณะที่ผู้ใหญ่ทำงาน เราก็เล่นสนุกกันไป ช่วงพักเพลหนุ่มๆ สาวๆ ก็มักที่จะมีกิจกรรมสนุกๆ อย่างการเล่น ช่วงชัย หรือที่เราเรียกว่า ลูกช่วง มาเล่นกัน ซึ่งเด็ก ๆ ก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมด้วยเสมอ
และการลงแขกที่พวกเด็กๆ จะชอบมากเป็นพิเศษก็คือการลงแขกนวดข้าว ตรงนี้ก็อยากขอแทรกวิธีการด้วยสักหน่อยแล้วกันนะครับ... การนวดข้าวนั้นเริ่มจากการเตรียมลานนวดข้าว ด้วยการทำพื้นที่ให้เตียน ปักเสาสูงต้นหนึ่งไว้กลางลาน จากนั้นก็หาขี้ควายสดมาฉาบทาลานดินที่เตรียมไว้ เมื่อขี้ควายแห้งได้เวลานวดข้าว ก็นำฟ่อนข้าวมาวางเรียงซ้อนกันรอบเสา พอตกกลางคืนก็นำควายสี่ห้าตัวมาผูกเรียงกันโดยที่ตัวหนึ่งจะถูกมัดติดกับเสา ที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของเด็กๆ ล่ะครับที่จะไล่ต้อนควายให้เหยียบย่ำข้าววนรอบเสาไป นับว่าเด็กๆ จะมีประโยชน์ต่อการลงแขกกันก็งานนี้แหละ แน่นอน เด็กๆ สนุกกันมาก ได้วิ่งไล่ควาย ได้เล่นบนกองฟาง มุดกองฟาง ตีลังกา เล่นต่อสู้กัน เด็กบางคนก็อาศัยกองฟางนั่นแหละเป็นที่นอน โดยมุดเข้าไปขดตัวอยู่ใต้นั้นเลย ผ้าห่มน่ะหรือ ไม่ต้องครับ ห่มฟางทั้งกองแล้วนี่นา
เมื่อเวลาผ่านไป เงินเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในสังคมชนบท เราหาเงินได้มากขึ้น พอๆ กับความต้องการใช้ที่มีมากขึ้นเช่นกัน เราต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการหาเงิน ประเพณีลงแขกก็ดูจะเลือนหายไปพร้อมๆ กับผืนป่า หากพูดถึงการลงแขก เด็กสมัยนี้มักคิดไปอีกทางเสมอ ก็ได้แต่หวังว่าการลงแขกของเด็กสมัยนี้ จะไม่กลายเป็นประเพณีแห่งยุคสมัยไปเท่านั้นครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น