ผมชื่อวันนะ เกิดในจังหวัดบัตด็อมบอง พ.ศ.๒๕๔๙ นี้ผมอายุสิบสามปี หน้าที่ในแต่ละวันของผมนั้นเริ่มต้นแต่เช้าตรู่เสมอ...
เสียงกระดิ่งเสียงเกราะดังประสานเป็นจังหวะท่ามกลางอากาศหนาวเย็น พระอาทิตย์ยังมองเห็นเป็นวงกลมสีขาวหลังม่านหมอก ผมลุยน้ำค้างต้อนวัวลงทุ่ง วัวทั้งฝูงรู้ดีว่ามันควรจะไปที่ไหน ผมจึงแค่เดินตามมันไป อาจมีต้องคอยระวังพวกที่ชอบแตกแถวในบางครั้งบ้างเท่านั้น
เมื่อลอยสูงขึ้นตะวันก็เริ่มเปล่งแสง หมอกขาวยังคงเห็นได้จางๆ อากาศยังคงหนาวเย็น ผมเดินร้องเพลงไป ขณะเตร่ดูฝูงวัวเล็มหญ้าแห้งและตอซังข้าวที่ยังคงชุ่มน้ำค้าง รอบกายคือผืนนาราบเรียบ กอไม้ขึ้นเป็นหย่อมตามโคก ตาลยืนต้นเห็นได้ประปราย มันเป็นภาพเดิมๆ ที่แสนจะคุ้นเคย ทั้งชีวิตของผมก็มีอยู่แค่นี้ ท้องฟ้า ทุ่งนา และฝูงวัว... เด็กนักเรียนเดินตามกันเป็นกลุ่มบนถนนซึ่งทอดยาวผ่านผืนนา บ้างปั่นจักรยานตามกันไป นั่นคือภาพซึ่งผมจะเห็นได้เป็นประจำเช่นกัน
"โปรส์ ฝากดูวัวให้ด้วยนะ" เสียงนั้นทำให้ผมต้องละสายตาจากแนวถนนเบื้องหน้า ความที่เป็นลูกชายคนเดียวของบ้านนั่นแหละทำให้แม่เรียกผมว่าโปรส์* และหลายคนต่างเรียกตามจนมันกลายเป็นอีกชื่อหนึ่งของผมไปแล้ว... ผมหันมองเจ้าของเสียง ชื่อโปว นั้นบ่งบอกถึงการเป็นลูกฅนสุดท้องของเธอ และชื่อนี้บางครั้งก็จะเป็นชื่อของผมได้เหมือนกัน เพราะผมก็เป็นลูกฅนสุดท้องเช่นกันกับเธอ
"นะข้าจะไปหาฟืนก่อน"
"กินกล้วยจิ้มพริกเกลือก่อนไหมล่ะ ข้าห่อมาด้วยนะ" ผมเอ่ยชวนเพราะรู้ว่าเธอต้องไม่ได้กินข้าวเช้ามาแน่นอน เป็นเรื่องปกติของบ้านเธอนั่นแหละที่จะไม่กินข้าวเช้ากัน โปวยิ้มพยักหน้ากับคำชวนของผม
ใต้ร่มคูนใหญ่ดอกเหลืองเต็มต้นเคียงต้นตาลบนคันนานั้น เธอจิ้มกล้วยดิบกับพริกเกลือ เคี้ยวกินพลางเงยหน้ามองกับรอยยิ้มชวนสงสัย
"กินไปสิ ยิ้มอะไรล่ะ" ผมร้องบอกด้วยไม่เข้าใจในรอยยิ้มนั้น
"ร้องเพลงให้ฟังบ้างสิ" จู่ๆ เธอก็พูดออกมาและจ้องหน้าตาแป๋วใส่
"เฮ้ย! บ้า ข้าร้องไม่เป็น" อดร้องเสียงหลงออกไปไม่ได้ อยู่ๆ จะให้ร้องเพลงนี่นะ
"เมื่อกี๊ยังได้ยินนี่นา"เธอไม่ยอมลดละ
"อยู่ฅนเดียวก็ร้องได้สิ ไม่เคยร้องให้ใครฟังนี่" ผมพยายามหาข้อแก้ตัว
"วันก่อนยังเห็นร้องให้พวกไอ้เมาฟังอยู่เลย" เธอว่าพลางทำท่าเหมือนจะขำที่ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนออกมา
"ก็นั่นมันพวกไอ้เมานี่"
"ร้องให้พวกไอ้เมาฟังได้แล้วทำไมร้องให้ข้าฟังไม่ได้ล่ะ" เธอทำงอนก่อนเปลี่ยนท่าที มันทำให้ผมลำบากใจอยู่เหมือนกันนะ "น่า ร้องให้ฟังหน่อย เพลงของเขมระก็ได้ ข้ารู้ว่าเอ็งชอบเขมระ"เธอยังคงพยักเพยิดรบเร้า และผมคงได้แต่ยิ้มแห้งเบี่ยงสายตาหลบการจ้องมอง
"ก็ได้ แต่เพลงเดียวนะ" ผมบอกเหมือนต่อรองขณะที่เธอเธอยิ้มกว้างออกมา...
ยิ่งสายอากาศก็ยิ่งเพิ่มความร้อนระอุผิดกับช่วงเช้ามากทีเดียว เมื่อพวกเราเด็กแห่งท้องทุ่งมารวมตัวกัน กิจกรรมสนุกๆ ในระหว่างวันก็เริ่มขึ้น
"เล่นทอยหลุมกันดีกว่า" ไอ้เมา เด็กที่ชอบทำตัวเป็นหัวโจกเอ่ยชวนหลังจากที่เราเล่นร้องเพลงกันจนเบื่อแล้ว
"เอ็งไม่มีเหรียญเกม มีแต่แหวนรองหัวน็อต" ผมบอกกับมัน เหรียญเกมก็คือเหรียญที่เราต้องแลกเอาไว้หยอดตู้เล่นเกมกัน มันมีค่าสำหรับพวกเราเลยทีเดียว
"จะเล่นมั้ยล่ะ" ไอ้เมาถามเสียงดังทั้งทำท่าไม่พอใจกับคำพูดของผมนัก และแม้จะรู้ดีว่าเล่นกันทุกครั้ง มันจะใช้วิธีติดไว้ก่อนแทนที่จะยอมจ่ายเป็นเหรียญเกมเมื่อแพ้เสมอ แต่ผมยังไม่อยากที่จะเล่นอะไรฅนเดียวในตอนนี้เหมือนกัน เพราะพวกเพื่อนๆ ต่างเห็นดีเห็นงามกับคำชวนกันหมดแล้ว
"เป็นไงล่ะ" ไอ้เมาหัวเราะร่าเมื่อทอยแหวนรองหัวน็อตในมือไปชิดหลุมได้อย่างแม่นยำ แต่มันดีใจได้ไม่นานหรอก...
"หัวเราะทีหลังดังกว่าโว้ย" ผมคุยทับมันเรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ เมื่อทอยเหรียญตีแหวนอีแปะของมันกระเด็นออกไป ไอ้เมาดูท่าจะไม่พอใจนักหรอก ซึ่งมันจะหงุดหงิดง่ายแบบนี้เสมอนั่นแหละ...
ท่ามกลางแสงแดดแห่งท้องทุ่ง เกมของพวกเรายังคงดำเนินต่อไป
"ข้าใกล้กว่าว่ะ" ไอ้เมาเสียงดังขึ้นอีก เมื่อแหวนอีแปะรองหัวน็อตของมันกับเหรียญของผมอยู่ในระยะก้ำกึ่งยากจะบอกได้ว่าของใครชิดหลุมกว่ากัน
"เห็นไหมล่ะของข้าใกล้กว่า" มันบอกหลังจากก้มลงวัดหาระยะและหยิบเหรียญขึ้นมา นั่นเป็นวิธีโกงที่เด็กทุกฅนรู้ทันกันอยู่แล้ว
"วัดโกงนี่ไอ้เมา เอ็งรีบหยิบเหรียญออกทำไมล่ะ" ผมท้วง
"ไม่ได้โกงโว้ย! ของข้าใกล้กว่า เอ็งจ่ายมาเลย" มันพูดพลางจ้องหน้า พลางเลิกคิ้วทำท่ายียวนใส่
"ไม่จ่ายว่ะ! เอ็งโกง" ผมตอบกลับมาดยียวนนั้นด้วยการเชิดหน้าท้าทาย
"เอ็งต้องจ่ายสิวะ" มันข่มขู่ทั้งน้ำเสียงและสายตา คงคิดว่าผมจะกลัวล่ะสิ ความจริงคือเราสองฅนนั้นต่างไม่มีใครกลัวใคร หรือไม่มีใครยอมใครกันหรอก
"จ้างข้าก็ไม่จ่ายโว้ย ไอ้ขี้โกง" ผมตะคอกมันกลับไป
"โดนชกสิวะ!" มันพูดพร้อมเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ ผมสวนกลับไปอยู่แล้ว... หลังจากชกซ้ายป่ายขาวกันได้สักพัก เราก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงลงไปนอนกลิ้งกับพื้นกัน
"เฮ้ย! อะไรวะ" ไอ้เมาร้องขึ้นก่อนผละออกจากผมเพราะโดนฟาดเข้ากลางหลังอย่างจัง เธอยืนตั้งท่าพร้อมกับไม้ในมือขณะที่ไอ้หัวโจกจ้องหน้าตาเขียวใส่
"กล้าตีข้ารึวะ!" เมาตะคอกใส่ หากเธอยังคงเชิดหน้าท้าทาย
"อยากลองดีงั้นสิ!" ไอ้เมาพุ่งเข้าหาอย่างไม่กลัวไม้ในมือ ผมไม่ปล่อยให้ถึงตัวเธอหรอก จับเสื้อมันกระชากเหวี่ยงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
"ไอ้โปรส์เอ็ง!" มันส่งเสียงเหมือนคำรามขณะก้มมองเสื้อที่ขาดและยันกายขึ้น ตอนนี้ไอ้เมาได้แต่ทำหน้าขมึงทึงหันมองเราสองฅนสลับกันไปมา
"พวกเอ็งจำเอาไว้เลย!" ในที่สุดมันก็ชี้หน้าฝากอาฆาตไว้ก่อนพาพรรคพวกจากไป
แดดแรงยังคงฉาบทุ่งร้อน บนถนนลูกรังนั้น เด็กเล็กได้เวลาเลิกเรียนกลับบ้าน สวนทางกับเด็กโตที่ได้เวลาเข้าเรียนกันแล้ว
"เอ็งไม่ต้องคอยช่วยข้าก็ได้" ผมบอกกับเธอโดยที่สายตายังคงทอดมองกลุ่มเด็กบนถนน
"ทำไมล่ะ เก่งงั้นสิ" เธอทำเสียงเหมือนเยาะอยู่ในที
"มันเรื่องของผู้ชาย" ผมตอบเบาๆ ออกไป
"อี้โธ่... ผู้ชาย! แล้วไง ดีแต่ชกกัน" เธอพูดพลางสะบัดหน้าเชิดใส่
"ช่างเถอะ" ผมพยายามตัดบท กลีบคูนร่วงจากต้นช้าๆ สู่ผืนดิน รอบกายเราคือสีเหลืองจากกลีบและเกสรดอกไม้ที่ปูพรมอยู่บนพื้น
"เอ็งไม่ไปเรียนแล้วเหรอ" ผมถาม
"ขี้เกียจ ข้าไม่เรียนแล้ว" เธอตอบแบบไม่ใส่ใจนัก ผมพอเข้าใจความรู้สึกของการเป็นลูกกำพร้าของเธอบ้างเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเธอก็ได้เรียนถึงห้าปี
"ข้าชอบไปเรียนนะ แต่ข้าได้เรียนปีเดียวเอง" ผมพูดพลางแหงนมองดอกคูนเหลืองสดตัดกับสีฟ้าของฟ้า ปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย เมื่อพ่อกลายเป็นฅนพิการซึ่งต้องนอนอยู่กับที่ ผมก็ต้องออกจากโรงเรียน ยังดีที่มีฅนใจดีจ้างให้เลี้ยงวัว ทำให้พอมีรายได้เพิ่มจากงานรับจ้างรายวันของแม่และพี่สาว ซึ่งนานวันจะมีเข้ามาสักครั้ง และแม้จะเป็นลูกฅนสุดทัองเช่นกันกับเธอ แต่การเป็นลูกชายฅนเดียวของบ้านก็ทำให้ผมต้องกลายเป็นเรี่ยวแรงหลักของครอบครัวแทนพ่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
"เอ็งอยากไปโรงเรียนเหมือนเด็กพวกนั้นเหรอ" เธอพูดพลางพยักหน้าไปยังกลุ่มเด็กบนถนน
"อือ" ผมรับคำสั้นๆ
ดอกคูนโยกไหวตามสายลมร้อนที่พัดมาในบางครั้ง เธอส่งยิ้มประกายตาสดใสเมื่อผมหันมอง
พวกไอ้เมาเฮฮาอยู่กับแอ่งน้ำขุ่นแดงข้างทาง ขณะที่เราสองฅนอยู่ใต้ร่มคูณ
"ซอ เจิ้ง ลอ เอะ กอ เสลิก" เธอชี้นิ้วบนหน้าหนังสือพลางสะกดคำให้ผมอ่านตาม เพราะได้เรียนมากกว่าเธอจึงหาหนังสือเรียนเก่าๆ มาหัดให้ผมอ่านเขียนได้ ผมท่องตัวสะกดตามก่อนเงยหน้ามอง
"เอ็งไม่มีงานอะไรรึ" ผมถาม
"มี แต่ไม่รีบหรอก" เธอตอบเรียบๆ พลางชี้ไปที่หน้าหนังสือต่อ...
"อีโปว มามุดหัวเล่นอยู่นี่เอง" นิ้วที่ชี้ตัวอักษรชะงักค้าง เธอค่อยๆ เหลือบมองเจ้าของเสียงนั้น ลูกสาวของป้าเธอที่ชอบทำเสียงดังและข่มขู่เธอได้เสมอ เมื่อพ่อและแม่จากไป โปวก็ต้องอยู่กับครอบครัวของป้า ผมรู้ดีว่าเธอต้องรับภาระงานแทบทุกอย่างในบ้านนั้นทีเดียว
"หนูดูวัวอยู่จ้ะ" โปวตอบเสียงอ่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกดุอยู่ดี
"ดูวัวประสาอะไร วัวอยู่โน่น เอ็งอยู่นี่ เอาวัวไปผูกไว้เลยไป ที่บ้านยังมีงานอยู่นะ" เธอได้แต่ยิ้มแห้งให้ผมขณะที่พี่สาวสะบัดหน้าจากไป
"ข้าไปก่อนนะ" เธอบอกก่อนรีบออกไป
"เดี๋ยว หนังสือเอ็งล่ะ" ผมถามพลางลุกขึ้นวิ่งตาม
"เอ็งเก็บไว้ก่อน ค่อยเอามาคืนทีหลังก็ได้" โปวหันกลับมาบอก "แล้วเอ็งจะไปไหน" เธอถามเมื่อผมยังคงตามไป
"ไปช่วยเอ็งผูกวัวไง" ผมตอบ โปวพยักหน้ารับ
พวกไอ้เมายังคงเล่นสนุกเสียงดังกันขณะผมเดินผ่าน หลังจากสลวันนั้นก็ไม่มีใครสนใจผมนัก ผมเองก็ไม่อยากที่จะสนใจใครเช่นกัน... ช่อดอกคูณร่วงโรยนั้นยังพอได้เห็นสีเหลืองติดกิ่งอยู่บ้าง เสียงเพื่อนๆ หยอกล้อวังดังแว่วมาขณะที่ผมเปิดหนังสือพลิกดูที่ละหน้าอยู่ฅนเดียว เราไม่ได้เจอกันมาหลายวันแล้วผมจึงยังไม่ได้คืนหนังสือให้เธอเลย...
บนถนนลูกรัง ผมเดินปะปนไปกับเด็กนักเรียนเหล่านั้น ผ่านหน้าโรงเรียนและเลยเข้าไปในหมู่บ้าน ถึงบ้านของเธอ หากกลับลังเลที่จะเข้าไป หนังสือถูกม้วนกำไว้ด้วยสองมือขณะชะเง้อมองหา และกำลังตัดสินใจ...
"ไอ้โปรส์วัวเอ็งไปกินข้าวตาเลือย แกให้ตามหาเอ็งอยู่นี่" เฮง เด็กในหมู่บ้านฅนหนึ่งตะโกนบอกขณะปั่นจักรยานมาแต่ไกล...
เย็นนี้ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาเมื่อฝนหลงฤดูทำท่าจะตก
"เอ็งไปตามตาเปียนมาจ่ายเงินข้าเลย ข้าถึงจะยอมปล่อยวัวสองตัวนี่ไป" เสียงของตาเลือย และท่าทางน่ากลัวของแกยังติดอยู่ในหัว มันเป็นความผิดของผมเองที่ทิ้งวัวออกไปแบบนั้น ผมคงได้แต่โทษตัวเอง
"อีโปวรึ พี่สาวมันมารับไปอยู่ด้วยหลายวันแล้ว เอ็งไม่รู้หรือไง" คำพูดของไอ้เฮงที่บอกกับผมตอนขากลับจากนาตาเลือย ก็ยังก้องอยู่ในหัวเช่นกัน ยังไม่รู้เลยว่าตาเปียนเจ้าของวัวจะว่าอย่างไร หากรู้เรื่องที่ผมปล่อยวัวกินข้าวชาวบ้านจนต้องเสียเงิน อดคิดถึงเธออีกไม่ได้ ใจหายเหมือนกันกับการจากที่ไม่ทันล่ำลา ได้แต่คิดว่าบางทีเธออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมก็ได้ ผมต้อนวัวกลับบ้านทั้งความคิดสับสน วัวสองตัวไอ้ดื้อกับไอ้ขโมยก็ยังถูกจับไว้เป็นตัวประกันอยู่เลย...
ข้ามคลองเล็กๆ ตรงหน้านี้ไปก็จะถึงบ้านแล้ว ฟ้าลั่นครืนเสียงดังทำเอาตกใจ วัวก็เช่นกัน บางตัวตื่นข้ามคลองไปแล้ว หากบางตัวยังคงทำท่าไม่อยากจะลงน้ำ ผมพยายามไล่อีอืดอาดให้ทันเพื่อน ไอ้เปรียวที่ข้ามคลองไปก่อนนั้นดันออกนอกเส้นทางเสียอีก และหากมันเดินไปเรื่อยๆ ก็จะถึงแปลงผักชาวบ้านนั้นแน่นอน ซึ่งผมจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสองขึ้นมาอีกไม่ได้
ผมโดดไปข้างหน้าหวังให้ทันไอ้เปรียวก่อนที่มันจะถึงแปลงผัก กลับรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนต้องทิ้งตัวล้มลง ผมขาแพลง เป็นเพราะความรีบร้อนทีเดียว ได้แต่บีบเท้าและพยายามยันกายยืนขึ้น แม้จะเจ็บแค่ไหนแต่คงช้าไม่ได้ ไอ้เปรียวใกล้แปลงผักเข้าไปทุกทีแล้ว หากผมยังข้ามคลองไม่ได้เลย ซ้ำร้ายกว่านั้น อีอืดอาดที่ไม่ยอมไปตามเส้นทางเดิมก็พาตัวเองไปติดหล่มเลน วัวตัวอื่นๆ ก็ดูจะไปกันฅนละทาง ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี ฝืนเขย่งเท้าไปได้หน่อยก็เจ็บจนต้องทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง ทั้งที่ผมต้องรีบ แต่กลับเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ได้แต่นั่งดูความผิดพลาด ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา โดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย คงได้แต่ก้มหน้าทุบกำปั้นกับผืนดิน ตะโกนร้องไห้ขับความอัดอั้นที่มี ขณะที่สายฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมา...
เสียงไล่วัวเอ็ดอึงทำให้ต้องเงยหน้ามอง ไอ้เปรียวถูกต้อนออกมาแล้ว วัวตัวอื่นๆ ก็ถูกไล่ให้มารวมฝูงแล้วเช่นกัน พวกไอ้เมานั่นเอง...
"ร้องไห้เลยนะเอ็ง" มันมองหน้าพลางหัวเราเยาะใส่ ผมก็หัวเราะออกมาได้เช่นกัน หากเสียงร้องดังจากหล่มเลนนั้นบอกว่างานของเรายังไม่จบ ท่ามกลางสายฝนนั้น อีอืดยังคงพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้น พวกเรา ช่วยกันฉุดดึงมันขึ้นมา บางฅนลุยเลนลงไปช่วยกันผลักช่วยกันดัน แต่ก็ทำได้อย่างทุลักทุเลเต็มที ในขณะที่อีอืดอาดก็ดูอ่อนแรงลงเรื่อยๆ กว่าที่ตาเปียนกับชาวบ้านจะช่วยกันพาวัวเคราะห์ร้ายขึ้นมาได้ก็ดูจะช้าไป มันปล่อยขาเหยียดตรงเขาทิ่มดินก่อนนิ่งสนิทในที่สุด...
ท้องฟ้ายังคงสดใสเหนือผืนนา เสียงเพลงของพวกเรายังคงดังอยู่เช่นทุกวัน ทุกฅนต่างปรบมือเมื่อเพลงจบลง
"เอ็งจะไปจริงๆ รึวะ" เพื่อนๆ ต่างหันมองหน้าผมเมื่อเมาเอ่ยถาม
"เออ ลุงข้าอยู่เมืองไทย ข้าจะไปทำงานกับลุงข้า อีกอย่างที่นี่ตาเปียนแกบอกขายวัวไปแล้วด้วย" ผมตอบมันไป ลมร้อนยังคงพัดผ่านทุ่งแล้ง ตาลยังคงยืนต้นเหนือผืนนา ผมกวาดตามองรอบกาย บอกไม่ถูกเหมือนกัน กับความรู้สึกที่มีต่อภาพเดิมๆ ซึ่งเห็นจนชาชินในวันต้องจาก
"ถ้างั้นเพลงต่อไป เอ็งต้องร้องให้พวกข้าฟังเป็นการสั่งลาแล้ว" เมาบอกเสียงดังก่อนประกาศก้อง "อันดับต่อไป ขอเชิญทุกท่านพบกับ เขมระ!" พวกเราส่งเสียงเฮปรบมือกันเกรียวกราว...
ท่ามกลางฟ้าใส แดดแรง และผืนนาแล้ง เสียงเพลงของเด็กเลี้ยงวัว ยังคงดังลั่นทุ่ง.
*****************************************
*โปรส์ (ប្រុស) อ่านว่า โประ แปลว่า ผู้ชาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น