welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: วาสนา


          ปี ๒๕๑๘ เย็นนั้นฟ้าครึ้มหม่น รถบรรทุกซุงคำรามก้องขณะพุ่งทะยานไปตามเส้นทางลูกรัง ล้อรถบดถนนส่งฝุ่นฟุ้งกระจาย บนซุงท่อนใหญ่ ผมนั่งรับแรงสั่นสะเทือนบนตักพ่อซึ่งกอดผมไว้บนนั้น แม่อยู่ถัดออกไปด้านหลังกับผู้ร่วมเดินทางอีกสองสามฅน ท่ามกลางเวลาที่เหมือนว่าหยุดนิ่ง ทุกสิ่งดูเงียบงัน ม่านเงาแห่งความชั่วร้ายเริ่มสยายปีกโอบคลุม เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวนั้น แม้จะยังเข้าใจได้ไม่ชัดว่ามันคืออะไรก็ตามที

          ก่อนหน้านี้ผมยังวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อยู่เลยเมื่อแม่เรียกหา ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งรวมถึงผู้ใหญ่บ้านและพวกทหารยืนคุยอยู่กับพ่อหน้าโรงเรียน
          "ครูรีบพาลูกเมียไปเถอะ ชักช้าจะไม่ทันการนะครับ" ผมได้ยินชายฅน หนึ่งบอกกับพ่อเมื่อไปถึง ที่จริงผมเริ่มสังเกตได้ว่าผู้ฅนในหมู่บ้านมักมีคำพูดแปลกๆ กันได้สักพักหนึ่งแล้ว พ่อทอดสายตาสู่สนามดินเบื้องหน้า แหงนมองปราสาทห้ายอดปลิวสะบัดปลายเสาด้วยแววกังวลและเครียดขรึม
          "ไอ้เธียก็ไม่รู้ไปอยู่ไหนสิน่า" เสียงแม่บ่นพึมพำถึงพี่ชายของผม
          "ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมเจอจะพาเขาไปที่หลังเองครับ" ชาวบ้านฅนเดิมหันมาบอกกับแม่... รถซุงติดเครื่องรอเราอยู่ไม่ไกลนัก ผมไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไร และทำไมเราต้องรีบขนาดนี้ แม่ใช้เวลาเก็บของไม่นานเราก็ออกเดินทาง ซึ่งผมพอรู้ได้ว่ามันคือการหลบหนีจากบ้านเกิด

          ผมชื่อเวียสะนา หมู่บ้านซ็อมโฬต จังหวัดบัตด็อมบอง* คือสถานที่ซึ่งผมได้ลืมตาดูโลก ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ วันนั้นแผ่นดินลุกเป็นไฟ พ่อเล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่ลุกฮือต่อต้านอำนาจปกครอง พวกเขาถูกกวาดล้างและล้มตายหลายร้อยฅน  หมู่บ้านถูกเผา เปลวไฟลุกโชนครอบคลุมแทบทุกหลังคาเรือน มันเป็นความโหดร้ายและสยดสยองที่สุดเท่าที่ทุกฅนเคยได้เจอ แต่ไม่มีใครจะได้คาดคิดเลยว่า ทั้งหมด จะเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นหนึ่งเท่านั้น

          เมื่อเราออกสู่ถนนลาดยางก็ถึงจุดหมาย วัดแตรง ผมเห็นชาวบ้านหลายฅนมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ที่นี่มีทหารเช่นกันกับที่หมู่บ้านของผม และดูจะมีมากกว่าด้วย ทั้งทหารขแมร์และพวกต่างชาติตัวโตผมแดงพวกนั้น

          "เราจะทิ้งเขาไว้อย่างนั้นรึ" แม่ถามพลางหันสบสายตาว่างเปล่าของพ่อ "ให้ฉ้นกลับไปรับลูกเถอะ"
แม่อ้อนวอนขณะที่พ่อนิ่งสักพักก่อนพยักหน้าแทนคำตอบ
          "แม่! ผมไปด้วย" หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะผมก็ร้องขึ้นและรีบวิ่งตามไป ความหวาดวิตกจากสิ่งซึ่งยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรนั่นแหละที่ทำให้ไม่อยากห่างแม่ ผมวิ่งออกไปโดยไม่ได้หันกลับหลังเลย ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าพ่อ

          ฉากความทรงจำที่ยังไม่ซีดจาง ท่ามกลางแสงตะเกียงมัวหม่นนั้น พ่อชี้ก้านธูปไล่ตามแถวอักษรบนตำราเรียนสอนผมอ่านหนังสือเช่นทุกคืน
          "เก่งมากลูก" พ่อเอ่ยชมเมื่อผมสะกดเองได้ถูกต้อง "ลูกต้องเรียนให้เก่ง และขยันหาวิชาความรู้เข้าไว้นะ" พ่อพูดพลางลูบหัวผมไปด้วย
          "ครับพ่อ" ผมรับคำพลางเงยหน้ามอง แสงตะเกียงวับแวมจับรอยยิ้มใจดีบนใบหน้านั้น "โตขึ้นผมจะได้เป็นนักครูเหมือนพ่อ"

          'คำสัญญายังคงแจ่มชัด หากความเป็นจริงกลับเลือนลาง'

          "ดีแล้วลูก สำคัญที่สุดของความเป็นฅนก็คือการมีวิชาความรู้ จำไว้นะลูก"
          คำพูดของพ่อยังก้องอยู่ในหัว แม้ว่ายามนี้หลายสิ่งจะเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง... ฝูงวัวยังคงเล็มหญ้ากลางทุ่งร้อนอย่างไม่รู้สึกรู้สา ผมนั่งเฝ้าพวกมันอยู่บนโคกกลางนา กับวันเวลาและหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือรอย

          "กินน้ำมั้ย" ลุงเมาถามพลางยื่นกระบอกส่งให้เมื่อขึ้นมาบนโคกที่ผมนั่งอยู่ ผมขอบคุณแกก่อนรับมาดื่ม
          "แขนขวายังเจ็บอยู่รึไง ถึงใช้แต่แขนซ้าย" แกถามพลางจับข้อมือลูบคลำแขนข้างนั้นของผมไปด้วย
          "ไม่ค่อยเจ็บแล้วครับ แต่มันยังไม่มีแรงและไม่ค่อยถนัดนัก" ผมตอบก่อนวางกระบอกน้ำลง เช็ดปากด้วยฝ่ามือ
          "ไม่ถนัดก็ต้องหัดใช้มันบ้างนะ" ลุงเมาเอื้อมมือลูบหัวและยิ้ม มันทำให้ผมคิดถึงพ่อ ซึ่งความจริงแล้วสำหรับลุงเมานั้นถือว่าแกเป็นฅนมอบชีวิตใหม่ หรือเป็นพ่อฅนที่สองของผมเลยก็ว่าได้...

          เย็นนั้นเมื่อเราสองแม่ลูกย้อนกลับมา กว่าจะพบพี่ชาย รถซุงเที่ยวสุดท้ายก็หมดลงแล้ว ฅนรถบอกว่าต้องรอพรุ่งนี้สำหรับรถเที่ยวต่อไป แต่ฟ้าไม่ทันจะสาง พวกทหารชุดดำกับผ้าขาวม้าห้อยคอก็มาถึง พวกเขาสู้รบกันกลางดึกกับทหารในหมู่บ้าน รุ่งเช้าหมู่บ้านก็ถูกปิด ไม่มีใครที่จะสามารถเดินทางเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ การฝ่าฝืนหรือหลบหนีถือว่าเป็นกบฏ และเราทุกฅนต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอ็องการ์** พ่อของผมคือฅนหนึ่งที่พวกเขาต้องการตัว เมื่อไม่เจอพ่อพวกนั้นก็โกรธ และไม่เชื่อว่าพ่อจะหนีไปฅนเดียวโดยทิ้งพวกเราไว้แบบนี้  พวกเขาจึงควบคุมตัวและทำร้ายเรา เพื่อให้บอกสิ่งที่คิดว่าเราโกหก

          "พวกแกบอกมาเสียดีๆ ว่าครูธัวอยู่ที่ไหน!" ผมไม่เคยลืมเหตุการณ์นั้นได้เลย กับร่างบอบช้ำและลมหายใจอ่อนล้า ผมถูกมัดมือไขว้หลังอยู่กับพื้นภายในอาคารเรียน ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่ควบคุมตัวพวกเรา พวกเขายังคงส่งเสียงเกรี้ยวกราดข่มขู่แม่และพี่ชาย เมื่อคำตอบไม่ได้ดังใจจะเป็นผมที่มักตกเป็นผู้ถูกทำร้ายเสมอ นับเป็นช่วงเวลายาวนานท่ามกลางความทรมานหวาดกลัว และสับสนอย่างแท้จริง
          "พวกแกจะบอกหรือไม่บอก!" พร้อมกับเสียงนั้น ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระแทกผ่านใบหน้าก่อนที่สติจะวูบดับไปอีกครั้ง...
          ในที่สุดเราสามแม่ลูกก็ถูกจับแยกจากกัน หลังจากโดนทำร้ายจนสาหัสผมก็ถูกส่งตัวไปสังหาร... กับก้าวย่างไร้ความรู้สึกนั้น ผมใช้มือข้างหนึ่ง ประคองแขนอีกข้างที่เจ็บจนไม่สามารถขยับได้ ลากสังขารที่แทบไร้แรงตามฅนอื่นๆ ซึ่งถูกต้อนไปอย่างสิ้นหวัง
          "ผมขอไอ้หนูนั่นไปช่วยเลี้ยงวัวได้ไหมครับ" แม้จะได้ยินเสียงนั้น แต่ดูว่าทุกสิ่งจะอยูนอกเหนือความรับรู้ในเวลานี้ ผมยังใช้เรี่ยวแรงที่เหลือลากเท้าไปตามทาง ทั้งยังคงสับสนแม้เมื่อถูกนำตัวออกมาแล้ว ตอนนั้นไม่รู้เด้วยซ้ำว่า ผมควรจะดีใจไหม

          ลมร้อนพัดฝุ่นฟุ้งกระจายในบางครั้ง ผมหันมองรอยยิ้มใจดีบนใบหน้าเหี่ยวย่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรลุงเมาก็ยังทำให้ผมยิ้มได้ แม้ความรู้สึกต่างๆ จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตามที... ตั้งแต่จำความได้ผมก็เห็นลุงเมาอยู่ตัวฅนเดียวมาตลอด แกใจดีกับเด็กทุกฅนเสมอ และหลังจากพาผมมารักษาตัวจนหายดีแล้ว ลุงเมาก็ให้ผมช่วยแกเลี้ยงวัวควายนับแต่นั้นมา

          "ทำไมพวกเขาถึงเกลียดฅนมีความรู้ เกลียดฅนมีวิชา" ผมอดถามสิ่งที่สงสัยไม่ได้ ลุงเมายกมือปิดปากผมด้วยท่าทีหวดกลัวพลางจ้องหน้า
          "อย่าเที่ยวไปถามใครแบบนี้นะรู้มั้ย" แกบอกเพียงเท่านั้นก่อนเบือนหน้าสู่ท้องทุ่ง ทอดตามองฝูงวัวและเหล่าเด็กที่ทำงานกลางแดด ผมไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเจ้าของแววตาหม่นมัวคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่

          ชีวิตคืออะไร คือทุกข์ยาก สับสน และความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างนั้นหรือ เหมือนว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง ที่ผมยังสนุกกับการวิ่งเล่นหาปูหาปลากับพี่ชายและเพื่อนๆ ในท้องทุ่งแห่งนี้อยู่เลย แล้วจู่ๆ ความสุขวัยเยาว์นั้นกลับทิ้งช่วงลงอย่างฉับพลัน เกินกว่าจะทันได้รู้ตัว สี่ปีแล้วกับความสิ้นหวังหวาดกลัว ภายใต้กลิ่นไอชั่วร้ายที่แผ่กระจายไปทั่วแผ่นดินขแมร์ ความหวังหนึ่งเดียวของผมคือการได้เจอหน้าครอบครัว ได้เจอพ่อ แม้จะดูเลือนลางเต็มทีก็ตาม ผมวาดนิ้วไปบนผืนทราย ขีดเขียนอักษรกอกาไปตามประสา นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ยามคิดถึงพ่อแบบนี้

          ท่ามกลางสายลมหยุดนิ่ง อากาศอบอ้าวร้อนระอุนั้น เสียงปืนเสียงสู้รบที่ดังแต่เช้าดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ผมไม่เคยได้ยินเสียงสู้รบน่ากลัวแบบนี้นานมากแล้ว นับจากวันที่อยู่ภายใต้การปกครองของอ็องการ์ การอยู่ฅนเดียวแบบนี้ก็ทำให้อดผวาไม่ได้ในบางครั้ง หากลุงเมาอยู่ด้วยก็คงจะดี ไม่รู้ว่าแกหายไปไหนแต่เช้า ได้แต่คิดว่าอีกสักครู่แกก็คงจะกลับมาพร้อมกับกระบอกน้ำนั่นแหละ ผมหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แผ่นดินสั่นสะเทือนตามเสียงกัมปนาทขณะที่ผมได้แต่ขดตัวนิ่งอยู่โคนไม้ อยากผละจากฝูงวัวเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้ เฝ้าแต่ภาวนาให้เสียงสู้รบเบาบางลงบ้างเท่านั้น
          แว่วเสียงฅนเดินเข้ามา ผมรีบหันหน้าเข้าหาทันที
          "ลุง!" ผมร้องออกไปพร้อมกับฉีกยิ้มรับขณะที่ลุงเมาทรุดร่างลง เสื้อผ้าชุดดำเก่าคร่ำที่ห่อหุ้มร่างชรานั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
          "ลุงเป็นไร" ผมร้องถามพลางเข้าหาและพยายามประคองแกขึ้นมา
          "หนีไป" เป็นคำแรกที่แกบอกขณะพยายามแกะมือผมออก
          "ทำไม" ผมถามทั้งน้ำตา
          "พวกเวียดนามบุกมาแล้ว ที่นี่กำลังจะแตก รีบหนีไป"

          'พวกเวียดนามนั้นชั่วร้ายที่สุดจำไว้'

          ผมนึกถึงคำพูดที่ย้ำเตือนพวกเราเสมอในที่ประชุม

          "ชาวบ้านหลายฅนไปกันแล้ว รีบตามพวกเขาไป" ลุงเมาพูดพลางค่อยๆ หลับตาลง ผมได้แต่จ้องมองใบหน้าเหี่ยวย่นเหยเกพยายามข่มความเจ็บปวดนั้นนิ่งนาน ผ่านสายตาที่พร่าด้วยหยาดน้ำ รู้ว่าหากผมหันหลังไป นั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าชายชราฅนนี้
          "ไปสิ ไปตามหาพ่อเอ็ง" แกร้องบอกโดยไม่ลืมตา และยังคงพยายามผลักให้ออก ผมลุกขึ้น หากยังนิ่งมองภาพตรงหน้าอยู่ชั่วขณะ ก่อนหันหลังกลั้นใจวิ่งออกมาในที่สุด เสียงระเบิดเสียงปืนต่างๆ ยังคงดังลั่น ผมหลับหูหลับตาวิ่งโดยไม่สนใจอะไร ความอัดอั้นทั้งหมดถูกระบายออกมาจากทุกฝีเท้าและหยาดน้ำตาที่ไหล ไม่อยากคิดเลยว่าลุงเมาต้องบาดเจ็บเพราะมารับผมแทนที่จะรีบหนีไป

          ผมไม่เจอชาวบ้าน ไม่เจอใครที่ลุงเมาว่า จึงได้แต่เลาะริมทางมาฅนเดียวเรื่อยๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเดินบนเส้นทาง ค่ำไหนนอนนั่น หาขุดมันสำปะหลังกินทั้งดิบ และอะไรที่กินได้ประทังหิวมาตลอดทาง

          เมื่อถึงแตรงผมก็ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสี่ปี วัดร้างไม่มีพระ ไม่มีทหารอเมริกาในวันนี้ จะเห็นมีก็แต่ทหารเวียดนามที่ผมเคยหวาดกลัว เมื่อไม่เจอพ่อที่นี่ผมก็ต้องร่วมขบวนไปกับชาวบ้านและทหารพวกนั้น ท่ามกลางเศษซากสงครามซึ่งเห็นได้ตลอดทาง ถนนลาดยางกลายเป็นหลุมบ่อ หมู่บ้านร้างและซากศพส่งกลิ่นโชยซึ่งพบเห็นได้เป็นบางครั้ง ไฟสงครามนั้นแผดเผาไปทั้งแผ่นดินจริงๆ ผมเริ่มท้อแท้ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากความหวังว่าจะได้เจอพ่อเท่านั้น แต่ทว่า...

          'พ่อเอ็งตายแล้วล่ะลูกเอ๊ย'

          ความหวังทั้งมวลของผมสูญสิ้นไปกับคำบอกเล่านั้น...

          เมื่อหอบความลำเค็ญเร่ร่อนมาถึงสะเดาผมก็ได้พบกับแก ป้าเมี้ยน แกรู้จักครอบครัวผมดี เราหนีมาด้วยกันในวันที่ผมต้องพลัดพรากจากพ่อ แกเล่าให้ฟังว่าเมื่อรัฐบาลสาธารณะรัฐพ่ายแพ้ พ่อก็ต้องหนีไปเรื่อย แต่ไม่หยุดที่จะสอนเด็ก...

          'สำคัญที่สุดของฅน คือการมีวิชาความรู้'

         ผมอดนึกถึงคำสอนของพ่อไม่ได้ ป้าเมี้ยนยังบอกอีกว่าพ่อมาเป็นครูอยู่ที่สะเดาได้พักหนึ่งก็หนีไปสะนึง และโดนจับได้ที่นั่นก่อนถูกนำตัวไปพนมซ็อมโปว*** ที่ซึ่งไม่มีใครเมื่อถูกจับไปแล้วจะได้กลับมา ไม่ว่าเป็นหรือตาย
          ผมยังคงนิ่งงันกับคำตอบที่ได้รับ ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาโดยไม่คิดฝืน ป้าเมี้ยนเอื้อมมือมาลูบหัวและลูบคลำแขนข้างลีบเล็กของผม
          "แล้วแม่กับพี่เอ็งล่ะ" แกถามเบาๆ ผมได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ หลังถูกแยกจากกันผมก็ไม่ได้ข่าวของพวกเขาอีกเลย สงครามนั้นช่างโหดร้ายยิ่งนัก มันพรากทุกฅนและทุกสิ่งไปจากผมจนหมด ทิ้งไว้เพียงร่างพิการนี่เท่านั้น
          ขณะที่ผมยังคงนั่งก้มหน้า ป้าเมี้ยนก็ดึงตัวเข้าไปกอด ผมเงยหน้ามองและได้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากของพ่อหรือลุงเมานั่นเลย
          "อยู่นี่แหละไม่ต้องไปไหนแล้ว มาเป็นลูกแม่ก็ได้" ผมรู้สึกถึงก้อนสะอึ้นที่จุกคอกับคำพูดนั้น รับรู้ได้ว่าอย่างน้อย ความรักและน้ำใจนั้นยังคงหาได้ท่ามกลางสงคราม

          แม้ว่าสงครามจะแค่เปลี่ยนรูบแบบและยังไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด แต่วันนี้ท้องฟ้าก็ดูสดใส ผมออกจากบ้านแต่เช้า วิ่งเล่นหยอกล้อไปกับเพื่อนๆ และคุยกันเสียงดังตลอดทาง พวกเราหยุดยืนและแหงนมองป้ายหน้าประตูทางเข้า
          "โรงเรียน... อะไรต่อวะข้าอ่านได้แค่นี้แหละ" เด็กฅนหนึ่งทำท่าอวดเพื่อนๆ
          "ไอ้บ้า เอ็งเดาเอา ป้ายโรงเรียนก็ต้องเขียนว่าโรงเรียนสิวะ" เด็กอีกฅนค้านเสียงดัง เจ้าฅนอ่านทำหน้าเด๋อด๋าเมื่อพรรคพวกพากันหัวเราะใส่
          "ช่างมันเถอะ เดี๋ยวนักครูก็สอนเราเองแหละ" ผมบอกกับพวกเขาก่อนก้าวไปกับรอยยิ้ม...

          'สำคัญที่สุดของความเป็นฅน ก็คือการมีวิชาความรู้ จำไว้นะลูก'

          เป็นครั้งแรกที่ผมนึกถึงคำสอนของพ่อแล้วยิ้มได้

          "ครับพ่อ โตขึ้นผมจะเป็นนักครูเหมือนพ่อ"
          ไม่ว่าพ่อจะรับรู้ได้หรือไม่ก็ตาม หากผมยังคงยืนยันในคำสัญญา.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

* พระตะบอง (Battambang)
**อ็องการ์คำเต็มคือ อ็องการ์ปเดะว็อต (องค์การปฏิวัติ) ชื่อที่เขมรแดงใช้เรียกตัวเอง
***เขาสำเภา (Phnom sampov) ถ้ำสังหารแห่งบัตด็อมบอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น