สายลมวูบหนึ่งที่โชยพัดมานั้น ดูจะช่วยบรรเทาความร้อนจากไอแดดที่เหมือนจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ลงได้บ้าง ตอซังข้าวโพดเหี่ยวแห้งทอดแนวคลุมพื้นที่แถบชายเขาด้านหนึ่ง กับร่องรอยที่บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการเก็บเกี่ยวไปได้ไม่นาน ครอบครัวของไอ้หยับคงจะเข้ามาตัดมันในช่วงที่ผมไม่ได้เข้ามาที่นี่เมื่อสักสี่ห้าวันก่อน นั่นหมายความว่า ครอบครัวของมันจะไม่ได้เข้ามาที่นี่อีกแล้ว หลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้นสิ้นสุดลง
อดใจหายไม่ได้ขณะแหงนมองภูเขาหินปูนซึ่งแทรกตัวตะหง่านขึ้นมาท่ามกลางพื้นที่แห้งแล้ง ร่องรอยถนนที่เพิ่งตัดผ่านขึ้นไปตามแนวเขานั้นสะกิดใจให้เจ็บแปลบทุกครั้งที่ได้เห็นมัน
สายลมพัดผ่านยอดมันสำปะหลังพลิ้วไหวเมื่อผมหันหลังเดินกลับออกมา ราคามันเส้นช่วงนี้ยังไม่ดีนัก หากรออีกสักหน่อยน่าจะได้ราคาที่ดีกว่านี้ แต่ผมคงต้องรีบถอนมาสับขายกันแล้ว ซึ่งก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้เลย เพราะพวกเขาดูเหมือนจะเร่งเร้าให้เรารีบทำเช่นนั้นกันอยู่
ไม้ยืนต้นพวกมะม่วงลำใยที่ปลูกไว้ก็กำลังให้ผลผลิตเช่นกัน แต่มันไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว ได้แต่ทอดถอนใจขณะก้าวข้ามลวดหนามที่ขึงไว้ในระดับที่พอให้ข้ามได้ออกมา ก่อนหันกลับไปมองยอดเขาอีกครั้งกับความหดหู่ที่ทบทวีในใจ รู้ดีว่าเมื่อทุกคนเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ว่าจะเป็นถั่ว งา ข้าวโพด มัน หรืออื่นๆ ออกจนหมด ลวดหนามที่กั้นรอบภูเขาลูกนี้จะสูงขึ้น และจะไม่มีใครที่เคยทำไร่อยู่โดยรอบบริเวณนี้ จะสามารถเข้าไปในรั้วนั้นได้อีก หากไม่ได้รับอนุญาต
ฝุ่นกระจายฟุ้งไล่หลัง ขณะที่ผมขับรถมอเตอร์ไซค์ส่ายไปตามจังหวะของเส้นทางถนนลูกรังกลับบ้าน สายไฟบนยอดเสาขึงแนวคู่ขนานไปกับเส้นทางชนบท ไฟฟ้าและถนนนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่เห็นได้ชัดของบ้านเรา เส้นทางได้รับการปรับปรุงพร้อมการเดินสายไฟไปยังพื้นที่ต่างๆ ควบคู่กันไป นั่นทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้น และน่าจะมาจากนโยบายที่อนุญาตให้ต่างชาติสามารถเช่าที่ดินทำการเกษตรในระยะยาวนั่นด้วย ป้ายขายที่จึงมีให้เห็นทั่วไป ทั้งที่เป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ ปิดไว้ตามต้นไม้จนถึงป้ายคัทเอาท์ใหญ่โต ในขณะที่ผมเห็นแล้วยังอดห่วงไม่ได้
"หากเราไม่รู้จักหวงแหนแผ่นดินไว้ แล้วลูกหลานในวันหน้าจะเอาอะไรทำกิน" นั่นคือคำพูดที่ผมพยายามบอกกับทุกฅน
"ทำไร่ทำนาเมื่อไรจะรวย สู้เราขายที่เอาเงินมาลงทุนอย่างอื่นไม่ดีกว่ารึ" พวกเขาก็มักจะบอกผมกลับมาแบบนั้นเช่นกัน
อดจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกไม่ได้ขณะบังคับรถให้วิ่งไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อนั้น คิดถึงอดีตที่ผ่านมา คิดถึงความลำเค็ญครั้งสงคราม พ่อของผมถูกฆ่าเพราะว่าเป็นครู พี่ชายและแม่หายสาบสูญ เมื่อสงครามสิ้นสุดผมก็ไม่เหลืออะไร ทั้งครอบครัวและแผ่นดินทำกิน สิ่งเดียวที่สงครามทิ้งไว้ให้คือความพิการ แขนข้างขวาที่ลีบเล็กจากการโดนทำร้าย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังดีที่สงครามสิ้นสุดและผมยังหายใจได้ยู่ ไม่ว่าอย่างไรผมก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาห้าสิบปีแล้ว หากแต่ผมก็เอาชีวิตรอดจากความลำเค็ญหลังสงครามได้อย่างยากเย็นเต็มที สู้ทำงานทุกอย่างเท่าทีมีด้วยแขนข้างเดียว ไม่ว่าจะงานไร่นา หนักเบาผมสู้หมด ผมเคยทำกระทั่งรับจ้างหิ้วรองเท้า... ตอนนั้นสงครามยังไม่จบ แต่ตลาดปอยเปตก็มีฅนไทยเข้ามาเที่ยวหาซื้อสินค้ากันแล้ว ผมดั้นด้นไปถึงนั่นเพื่อทำงานรับจ้างสาระพัด และกับสภาพความเฉอะแฉะของพื้นที่ ผมจึงได้ทำกระทั่งรับจ้างหิ้วรองเท้าอย่างที่บอก...
ผมสร้างครอบครัวขึ้นมาจากความยากลำบากเช่นกัน จำได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากมากในตอนนั้น ระหว่างการหาซื้อที่ดินทำกิน กับการมีครอบด้วยเงินเพียงแสนเรียลในกระเป๋า ผมตัดสินใจที่จะไปสู่ขอภรรยาแทนการหาซื้อที่ดิน และน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทีเดียว เพราะหลังจากเสร็จพิธีแต่งงานที่จัดอย่างเรียบง่ายของเรา ผมก็มีเงินที่ได้จากการผูกข้อมือเพิ่มขึ้นมาเป็นกว่าสองแสนเรียล ผมนำเงินเกือบทั้งหมดไปซื้อที่ดินสำหรับครอบครัว เงินสองแสนเรียลแลกกับแผ่นดินชายเขารกร้างห่างไกลความเจริญได้หนึ่งเฮกตาร์* ผมบุกเบิกถางถากจนมันกลายเป็นพื้นที่ทำกินขึ้นมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายดาย เพราะช่วงนั้นเงินทองยังหาได้ยากมาก และเงินที่มีก็หมดไปกับราคาที่ดินจนแทบไม่มีเหลือจะให้ลงทุนอะไรขึ้นมาได้อีก
ผมต้องตัดสินใจจากภรรยาและลูกน้อยที่เพิ่งถือกำเนิด ลักลอบข้ามเขาบรรทัดไปทำงานที่ประเทศไทย เป็นคนงานในสวนผลไม้อยู่หนึ่งปีผมก็มีเงินกลับมาบ้านหมื่นกว่าบาท จากนั้นครอบครัวของเราก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
ยังจำได้ถึงความรู้สึกแรกกับความดีใจ เมื่อเห็นเส้นทางผ่านไร่ของเราได้รับการพัฒนา มีการนำดินลูกรังมาเทถมเพื่อให้พวกเราสัญจรไปมาได้สะดวกขึ้น มันดีกว่านั้นเมื่อมีสายไฟพาดผ่านเข้ามา ที่ดินของผมมีไฟฟ้าใช้แล้ว ผมกับภรรยาปรึกษากันว่าเราน่าจะสร้างบ้านอยู่ในไร่ จะได้ไม่ต้องอาศัยที่ของญาติๆ อยู่อย่างตอนนี้
แต่เราดีใจกันได้ไม่นานนัก บ้านใหม่ยังไม่ทันจะได้สร้างด้วยซ้ำ วันนั้นกำนันมาพบผมที่บ้าน บอกว่าเขาลูกนั้นและพื้นที่โดยรอบถูกฅนจีนกว้านซื้อไปหมดแล้ว เราต้องทิ้งที่ดินทำกินผืนนั้น โดยพวกเขาจะมีค่าเสียหายให้ แต่มันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเราไม่ได้ต้องการขาย แถมพวกเขายังให้ราคาต่ำกว่าที่เราควจจะได้เป็นครึ่ง แน่นอนว่าผมไม่ยอม ชาวบ้านฅนอื่นๆ ก็ไม่ยอม พวกเขาจึงนัดให้พวกเราไปรวมตัวที่ภูเขาเพื่อเจรจากัน...
วันนั้นพวกเขามากันมากมาย ทั้งผู้ใหญ่ กำนัน นายอำเภอ ผู้ช่วยนายอำเภอ ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวกับที่ดิน พวกเขาเอาหนังสือสัญญาอะไรไม่รู้มาอ่านให้พวกเราฟัง ใจความในสัญญาฉบับนั้นบอกว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ กษัตริย์ของเราซึ่งสวรรคตไปแล้วในตอนนี้นั้น ได้ขายภูเขาลูกนี้ให้ฅนจีนไปแล้ว เขายังบอกอีกว่า เพราะฅนจีนที่เขากล่าวอ้างยังไม่ว่างที่จะเข้ามาทำกิน อีกทั้งประเทศของเราได้เกิดสงครามขึ้นเสียก่อน พวกเขาจึงได้ปล่อยไว้จนถึงตอนนี้จึงได้มาทวงสิทธิ์นั้นกัน และหากพวกเราไม่ย้ายออกแต่โดยดี ก็จะถูกขับไล่โดยไม่ได้อะไรเลย
มันเป็นข้อกล่าวอ้างอันน่าขันซึ่งทำเอาพวกเราต่างจุกในอก
"ทำใจเถอะเพื่อน" ไอ้หยับหันมาพูดกับผมเบาๆ "อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพวกที่อยู่ในกรุง พวกนั้นโดนรื้อทำลายที่อยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทนเลยด้วยซ้ำ"
ผมได้แต่พยักหน้ารับมันไป พวกเราจะทำอย่างไรได้ล่ะ แม้สงครามจะสิ้นสุดไปนานแล้วก็ตาม แต่ยุคสมัยของการกดขี่ข่มเหงจะยังคงไม่จบลงง่ายดายอย่างแน่นอน
"พวกมันซื้อไปก็ยกกลับประเทศไม่ได้หรอก ไม่ว่าอย่างไรเขาย่าเมือยก็ยังอยู่กับเรานี่แหละ" ผมนึกถึงคำพูดส่งท้ายของไอ้หยับ ยังอดหวั่นใจกับร่องรอยถนนที่พาดผ่านขึ้นไปไม่ได้ หวังแต่ว่าไอ้หยับมันคงจะพูดไม่ผิดเท่านั้น
เช้านี้หลังจากลูกชายและลูกสาวฅนเล็กไปโรงเรียนแล้ว ผมกับภรรยาและลูกชายที่เริ่มโตอีกสองฅนก็นั่งรถไถแบบเดินตามติดพ่วงท้ายเข้าไร่ เราต้องถอนมันของเรากันแล้ว แม้จะไม่ค่อยได้ราคานัก แต่ก็ยังดีกว่าจะปล่อยให้เรื่องราวมันคาราคาซังอยู่อย่างนี้
แดดเช้าเริ่มแรง ผมทอดสายตาผ่านหลังลูกชายซึ่งกำลังบังคับรถไถ มองเลยไปตามแนวถนน เห็นป้ายขายที่ข้างทางแล้วอดคิดถึงการไปเป็นลูกจ้างฅนไทยไม่ได้ บางทีในอนาคตข้างหน้า ลูกหลานของผมอาจต้องเป็นลูกจ้างต่างชาติในแผ่นดินเกิดของตัวเอง เมื่อมองสายไฟที่ทอดขนานคู่กันไปกับเส้นทางแล้วก็อดคิดไม่ได้อีกเช่นกัน บางที... ถ้าไม่มีมันเข้ามายังจะดีเสียกว่า
ผมยังคงทอดสายมองภูเขาซึ่งเห็นได้ในระยะไกลจากทุ่งนา มองก่อนที่มันจะหายไปจากสายตา อดนึกถึงทุ่งดอกหญ้าสีแดงพลิ้วไหวรับลมไม่ได้ ส่วนที่สูงจากไร่ของผมขึ้นไปนั้นพื้นที่จะมีแต่หิน และเต็มไปด้วยดอกหญ้าที่ว่า จากบนนั้นเราสามารถมองเห็นพื้นที่เบื้องล่างได้สุดสายตา ลูกสาวฅนเล็กของผมตื่นเต้นเสมอเมื่อได้ขึ้นไป แต่จะไม่มีใครได้เห็นมันอีกแล้ว ผมรู้ว่าตอนนี้ที่นั่นมีโรงงานใหญ่โต มีบ้านพักฅนงานมีรถวิ่งผ่านเข้าออกคึกคัก สิ่งที่ผมแอบหวั่นลึกๆ ในใจนั้นได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ วันหนึ่งภูเขาลูกนี้จะหายไปจากหมู่บ้านของเรา ผมรู้ว่าเป็นเช่นนั้น เพราะพวกเขากำลังป่นมันให้กลายเป็นปูนซีเมนต์เสียทั้งลูก.
หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************
*1 เฮกตาร์ = 6.1 ไร่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น