welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: แผ่นดินของเรา


          สายลมวูบหนึ่งที่โชยพัดมานั้น ดูจะช่วยบรรเทาความร้อนจากไอแดดที่เหมือนจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ลงได้บ้าง ตอซังข้าวโพดเหี่ยวแห้งทอดแนวคลุมพื้นที่แถบชายเขาด้านหนึ่ง กับร่องรอยที่บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการเก็บเกี่ยวไปได้ไม่นาน ครอบครัวของไอ้หยับคงจะเข้ามาตัดมันในช่วงที่ผมไม่ได้เข้ามาที่นี่เมื่อสักสี่ห้าวันก่อน นั่นหมายความว่า ครอบครัวของมันจะไม่ได้เข้ามาที่นี่อีกแล้ว หลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้นสิ้นสุดลง
          อดใจหายไม่ได้ขณะแหงนมองภูเขาหินปูนซึ่งแทรกตัวตะหง่านขึ้นมาท่ามกลางพื้นที่แห้งแล้ง ร่องรอยถนนที่เพิ่งตัดผ่านขึ้นไปตามแนวเขานั้นสะกิดใจให้เจ็บแปลบทุกครั้งที่ได้เห็นมัน
          สายลมพัดผ่านยอดมันสำปะหลังพลิ้วไหวเมื่อผมหันหลังเดินกลับออกมา ราคามันเส้นช่วงนี้ยังไม่ดีนัก หากรออีกสักหน่อยน่าจะได้ราคาที่ดีกว่านี้ แต่ผมคงต้องรีบถอนมาสับขายกันแล้ว ซึ่งก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้เลย เพราะพวกเขาดูเหมือนจะเร่งเร้าให้เรารีบทำเช่นนั้นกันอยู่
          ไม้ยืนต้นพวกมะม่วงลำใยที่ปลูกไว้ก็กำลังให้ผลผลิตเช่นกัน แต่มันไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว ได้แต่ทอดถอนใจขณะก้าวข้ามลวดหนามที่ขึงไว้ในระดับที่พอให้ข้ามได้ออกมา ก่อนหันกลับไปมองยอดเขาอีกครั้งกับความหดหู่ที่ทบทวีในใจ รู้ดีว่าเมื่อทุกคนเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ว่าจะเป็นถั่ว งา ข้าวโพด มัน หรืออื่นๆ ออกจนหมด ลวดหนามที่กั้นรอบภูเขาลูกนี้จะสูงขึ้น และจะไม่มีใครที่เคยทำไร่อยู่โดยรอบบริเวณนี้ จะสามารถเข้าไปในรั้วนั้นได้อีก หากไม่ได้รับอนุญาต

          ฝุ่นกระจายฟุ้งไล่หลัง ขณะที่ผมขับรถมอเตอร์ไซค์ส่ายไปตามจังหวะของเส้นทางถนนลูกรังกลับบ้าน สายไฟบนยอดเสาขึงแนวคู่ขนานไปกับเส้นทางชนบท ไฟฟ้าและถนนนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่เห็นได้ชัดของบ้านเรา เส้นทางได้รับการปรับปรุงพร้อมการเดินสายไฟไปยังพื้นที่ต่างๆ ควบคู่กันไป นั่นทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้น และน่าจะมาจากนโยบายที่อนุญาตให้ต่างชาติสามารถเช่าที่ดินทำการเกษตรในระยะยาวนั่นด้วย ป้ายขายที่จึงมีให้เห็นทั่วไป ทั้งที่เป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ ปิดไว้ตามต้นไม้จนถึงป้ายคัทเอาท์ใหญ่โต ในขณะที่ผมเห็นแล้วยังอดห่วงไม่ได้
          "หากเราไม่รู้จักหวงแหนแผ่นดินไว้ แล้วลูกหลานในวันหน้าจะเอาอะไรทำกิน" นั่นคือคำพูดที่ผมพยายามบอกกับทุกฅน
          "ทำไร่ทำนาเมื่อไรจะรวย สู้เราขายที่เอาเงินมาลงทุนอย่างอื่นไม่ดีกว่ารึ" พวกเขาก็มักจะบอกผมกลับมาแบบนั้นเช่นกัน

          อดจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกไม่ได้ขณะบังคับรถให้วิ่งไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อนั้น คิดถึงอดีตที่ผ่านมา คิดถึงความลำเค็ญครั้งสงคราม พ่อของผมถูกฆ่าเพราะว่าเป็นครู พี่ชายและแม่หายสาบสูญ เมื่อสงครามสิ้นสุดผมก็ไม่เหลืออะไร ทั้งครอบครัวและแผ่นดินทำกิน สิ่งเดียวที่สงครามทิ้งไว้ให้คือความพิการ แขนข้างขวาที่ลีบเล็กจากการโดนทำร้าย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังดีที่สงครามสิ้นสุดและผมยังหายใจได้ยู่ ไม่ว่าอย่างไรผมก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาห้าสิบปีแล้ว หากแต่ผมก็เอาชีวิตรอดจากความลำเค็ญหลังสงครามได้อย่างยากเย็นเต็มที สู้ทำงานทุกอย่างเท่าทีมีด้วยแขนข้างเดียว ไม่ว่าจะงานไร่นา หนักเบาผมสู้หมด ผมเคยทำกระทั่งรับจ้างหิ้วรองเท้า... ตอนนั้นสงครามยังไม่จบ แต่ตลาดปอยเปตก็มีฅนไทยเข้ามาเที่ยวหาซื้อสินค้ากันแล้ว ผมดั้นด้นไปถึงนั่นเพื่อทำงานรับจ้างสาระพัด และกับสภาพความเฉอะแฉะของพื้นที่ ผมจึงได้ทำกระทั่งรับจ้างหิ้วรองเท้าอย่างที่บอก...

          ผมสร้างครอบครัวขึ้นมาจากความยากลำบากเช่นกัน จำได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากมากในตอนนั้น ระหว่างการหาซื้อที่ดินทำกิน กับการมีครอบด้วยเงินเพียงแสนเรียลในกระเป๋า ผมตัดสินใจที่จะไปสู่ขอภรรยาแทนการหาซื้อที่ดิน และน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทีเดียว เพราะหลังจากเสร็จพิธีแต่งงานที่จัดอย่างเรียบง่ายของเรา ผมก็มีเงินที่ได้จากการผูกข้อมือเพิ่มขึ้นมาเป็นกว่าสองแสนเรียล ผมนำเงินเกือบทั้งหมดไปซื้อที่ดินสำหรับครอบครัว เงินสองแสนเรียลแลกกับแผ่นดินชายเขารกร้างห่างไกลความเจริญได้หนึ่งเฮกตาร์* ผมบุกเบิกถางถากจนมันกลายเป็นพื้นที่ทำกินขึ้นมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายดาย เพราะช่วงนั้นเงินทองยังหาได้ยากมาก และเงินที่มีก็หมดไปกับราคาที่ดินจนแทบไม่มีเหลือจะให้ลงทุนอะไรขึ้นมาได้อีก
          ผมต้องตัดสินใจจากภรรยาและลูกน้อยที่เพิ่งถือกำเนิด ลักลอบข้ามเขาบรรทัดไปทำงานที่ประเทศไทย เป็นคนงานในสวนผลไม้อยู่หนึ่งปีผมก็มีเงินกลับมาบ้านหมื่นกว่าบาท จากนั้นครอบครัวของเราก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
          ยังจำได้ถึงความรู้สึกแรกกับความดีใจ เมื่อเห็นเส้นทางผ่านไร่ของเราได้รับการพัฒนา มีการนำดินลูกรังมาเทถมเพื่อให้พวกเราสัญจรไปมาได้สะดวกขึ้น มันดีกว่านั้นเมื่อมีสายไฟพาดผ่านเข้ามา ที่ดินของผมมีไฟฟ้าใช้แล้ว ผมกับภรรยาปรึกษากันว่าเราน่าจะสร้างบ้านอยู่ในไร่ จะได้ไม่ต้องอาศัยที่ของญาติๆ อยู่อย่างตอนนี้
          แต่เราดีใจกันได้ไม่นานนัก บ้านใหม่ยังไม่ทันจะได้สร้างด้วยซ้ำ วันนั้นกำนันมาพบผมที่บ้าน บอกว่าเขาลูกนั้นและพื้นที่โดยรอบถูกฅนจีนกว้านซื้อไปหมดแล้ว เราต้องทิ้งที่ดินทำกินผืนนั้น โดยพวกเขาจะมีค่าเสียหายให้ แต่มันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเราไม่ได้ต้องการขาย แถมพวกเขายังให้ราคาต่ำกว่าที่เราควจจะได้เป็นครึ่ง แน่นอนว่าผมไม่ยอม ชาวบ้านฅนอื่นๆ ก็ไม่ยอม พวกเขาจึงนัดให้พวกเราไปรวมตัวที่ภูเขาเพื่อเจรจากัน...

          วันนั้นพวกเขามากันมากมาย ทั้งผู้ใหญ่ กำนัน นายอำเภอ ผู้ช่วยนายอำเภอ ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวกับที่ดิน พวกเขาเอาหนังสือสัญญาอะไรไม่รู้มาอ่านให้พวกเราฟัง ใจความในสัญญาฉบับนั้นบอกว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ กษัตริย์ของเราซึ่งสวรรคตไปแล้วในตอนนี้นั้น ได้ขายภูเขาลูกนี้ให้ฅนจีนไปแล้ว เขายังบอกอีกว่า เพราะฅนจีนที่เขากล่าวอ้างยังไม่ว่างที่จะเข้ามาทำกิน อีกทั้งประเทศของเราได้เกิดสงครามขึ้นเสียก่อน พวกเขาจึงได้ปล่อยไว้จนถึงตอนนี้จึงได้มาทวงสิทธิ์นั้นกัน และหากพวกเราไม่ย้ายออกแต่โดยดี ก็จะถูกขับไล่โดยไม่ได้อะไรเลย
          มันเป็นข้อกล่าวอ้างอันน่าขันซึ่งทำเอาพวกเราต่างจุกในอก
          "ทำใจเถอะเพื่อน" ไอ้หยับหันมาพูดกับผมเบาๆ "อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพวกที่อยู่ในกรุง พวกนั้นโดนรื้อทำลายที่อยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทนเลยด้วยซ้ำ"
          ผมได้แต่พยักหน้ารับมันไป พวกเราจะทำอย่างไรได้ล่ะ แม้สงครามจะสิ้นสุดไปนานแล้วก็ตาม แต่ยุคสมัยของการกดขี่ข่มเหงจะยังคงไม่จบลงง่ายดายอย่างแน่นอน
          "พวกมันซื้อไปก็ยกกลับประเทศไม่ได้หรอก ไม่ว่าอย่างไรเขาย่าเมือยก็ยังอยู่กับเรานี่แหละ" ผมนึกถึงคำพูดส่งท้ายของไอ้หยับ ยังอดหวั่นใจกับร่องรอยถนนที่พาดผ่านขึ้นไปไม่ได้ หวังแต่ว่าไอ้หยับมันคงจะพูดไม่ผิดเท่านั้น

          เช้านี้หลังจากลูกชายและลูกสาวฅนเล็กไปโรงเรียนแล้ว ผมกับภรรยาและลูกชายที่เริ่มโตอีกสองฅนก็นั่งรถไถแบบเดินตามติดพ่วงท้ายเข้าไร่ เราต้องถอนมันของเรากันแล้ว แม้จะไม่ค่อยได้ราคานัก แต่ก็ยังดีกว่าจะปล่อยให้เรื่องราวมันคาราคาซังอยู่อย่างนี้
          แดดเช้าเริ่มแรง ผมทอดสายตาผ่านหลังลูกชายซึ่งกำลังบังคับรถไถ มองเลยไปตามแนวถนน เห็นป้ายขายที่ข้างทางแล้วอดคิดถึงการไปเป็นลูกจ้างฅนไทยไม่ได้ บางทีในอนาคตข้างหน้า ลูกหลานของผมอาจต้องเป็นลูกจ้างต่างชาติในแผ่นดินเกิดของตัวเอง เมื่อมองสายไฟที่ทอดขนานคู่กันไปกับเส้นทางแล้วก็อดคิดไม่ได้อีกเช่นกัน บางที... ถ้าไม่มีมันเข้ามายังจะดีเสียกว่า

         
          ผมยังคงทอดสายมองภูเขาซึ่งเห็นได้ในระยะไกลจากทุ่งนา มองก่อนที่มันจะหายไปจากสายตา อดนึกถึงทุ่งดอกหญ้าสีแดงพลิ้วไหวรับลมไม่ได้ ส่วนที่สูงจากไร่ของผมขึ้นไปนั้นพื้นที่จะมีแต่หิน และเต็มไปด้วยดอกหญ้าที่ว่า จากบนนั้นเราสามารถมองเห็นพื้นที่เบื้องล่างได้สุดสายตา ลูกสาวฅนเล็กของผมตื่นเต้นเสมอเมื่อได้ขึ้นไป แต่จะไม่มีใครได้เห็นมันอีกแล้ว ผมรู้ว่าตอนนี้ที่นั่นมีโรงงานใหญ่โต มีบ้านพักฅนงานมีรถวิ่งผ่านเข้าออกคึกคัก สิ่งที่ผมแอบหวั่นลึกๆ ในใจนั้นได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ วันหนึ่งภูเขาลูกนี้จะหายไปจากหมู่บ้านของเรา ผมรู้ว่าเป็นเช่นนั้น เพราะพวกเขากำลังป่นมันให้กลายเป็นปูนซีเมนต์เสียทั้งลูก.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

*1 เฮกตาร์ = 6.1 ไร่

ชีวิตเปื้อนสุข: ไอ้ดื้อ

          รถของเด็กพวกนัั้นแผดเสียงดังลั่นผ่านหน้าบ้านเราไป แต่วันนี้ไม่มีเสียงของมันเห่าไล่หลังเหมือนทุกวัน มันชื่อไอ้ดื้อ ครั้งแรกที่ได้เห็นมันตัวเล็กและผอมโซเลยทีเดียว มันมาจากไหนไม่รู้ แม่ให้ข้าวมันกินแล้วมันก็อยู่กับเรามาตลอด แม่บอกว่าดีแล้ว แมวมาหาหมามาสู่เป็นเรื่องดี
          ผมชอบเล่นกับมัน มันเองก็ชอบตาม ไม่ว่าผมจะไปหาปูหาปลาหรือที่ไหนๆ ก็ตาม แต่มันก็ดื้อสมชื่อจริงๆ มันชอบกัดรองเท้า กัดทุกอย่างแม้แต่หัวน้ำเหวี่ยงตามสวน และยังชอบคุ้ยโคนทุเรียนที่พ่อเพิ่งปลูก มันทำให้ต้นทุเรียนตาย พ่อโดนเถ้าแก่ดุ ดูเหมือนเถ้าแก่จะไม่ค่อยชอบไอ้ดื้อนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าแกจะไม่ชอบสุนัขนะ เพราะที่บ้านแกก็มีหมาที่แกให้นอนในห้องแอร์เลยด้วยซ้ำ พ่อชอบบอกว่า 'ฅนอะไรเลี้ยงหมาอย่างกับลูก' แต่ก็นั่นแหละ เมื่อไอ้ดื้อทำให้พ่อถูกดุ มันก็เลยถูกพ่อตีเพราะเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ
          อีกอย่างที่จะทำให้ไอ้ดื้อโดนตีก็คือเรื่องที่มันชอบวิ่งไล่รถ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคันหรอกนะที่ไอ้ดื้อมันจะไล่กวด... ถนนหน้าที่พักของเราจะเป็นทางซอยเข้าสวนไม่ค่อยมีรถผ่านมากนักหรอก แต่หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์แล้วล่ะก็ จะมีกลุ่มเด็กๆ ที่ชอบขับมอร์เตอร์ไซค์เร่งเครื่องเสียงดังผ่านไปมากันแทบทั้งวัน นั่นแหละที่ไอ้ดื้อมันจะไม่ชอบเลย

          ตอนเย็นวันนั้นมันตามผมไปหาปลาที่อ่างเก็บน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักเรานัก เสียงแว้นเฮฮาของเด็กพวกนั้นดังมาแต่ไกล ผมหันไปตะคอกไอ้ดื้อเมื่อรถกำลังผ่านเราไป แต่มันไม่ฟัง กลับเห่าเสียงดังและวิ่งไล่รถคันหนึ่งออกไป เมื่อไม่ทันมันก็หันกลับ นั่นทำให้รถคันที่ตามหลังมาเกือบชนมัน ดีที่ไอ้ดื้อหลบได้ทัน แต่มันกลับไปขวางทางของรถอีกคันที่วิ่งสวนมาจึงโดนชนอย่างจัง รถคันนั้นเสียหลักล้มไถลไปกับมัน
          ไอ้ดื้อคงเจ็บมาก มันร้องเสียงหลงทีเดียว เด็กฅนนั้นก็คงเจ็บ ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนมองขณะที่พวกเขาชี้หน้าด่า ฟังไม่ออกหรอกว่าพวกนั้นด่าว่าอะไร แต่ถึงฟังออกก็คงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ดี พวกเขาโกรธมาก เด็กฅนหนึ่งคว้าไม้จะไปฟาดไอ้ดื้อซ้ำแต่มันก็หนีไปได้

          "ไอ้กบาลรึง* หาเรื่องมาให้อีกแล้วนะมึง" พ่อบ่นมันเมื่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้น มันทำให้เราต้องเสียเงินที่พ่อบอกว่ามากพอดู ทั้งค่าซ่อมรถและค่ารักษาฅนเจ็บ ผมรู้ว่าพ่อไม่มีเงินมากนักหรอก พ่อมาทำงานที่นี่ได้ค่าแรงแค่วันละสองร้อย 'เราไม่ใช่ฅนไทยเหมือนเขา จะหวังค่าแรงเท่าเขาคงจะยาก มีงานทำก็ดีแล้ว' ผมเคยได้ยินพ่อบอกกับแม่แบบนั้น พ่อบอกว่าถึงอย่างไรก็ดีกว่าได้ค่าแรงแพงแล้วถูกโกง เหมือนก่อนหน้านี้ที่พ่อเคยทำงานก่อสร้างที่เกาะแห่งหนึ่งแล้วไม่ได้ค่าแรงอะไรเลย ช่วงนี้ฝนตกบ่อยด้วยพ่อจึงไม่ได้ทำงานทุกวัน เมื่อพ่อมีเงินไม่พอเถ้าแก่จึงต้องจ่ายค่าปรับให้ก่อน แล้วค่อยหักคืนจากค่าแรง...

          "ช่วงนี้เราต้องประหยัดกันหน่อยนะ" พ่อพูดกับแม่
          "ไม่เป็นไรหรอก กินอดอย่างไรก็ยังดีกว่าอยู่บ้านเรา อย่างน้อยยอดตำลึงกับผักกระสังในสวนก็ยังพอหาได้" เสียงแม่บอกกับพ่อ อาจเหมือนที่แม่ว่า อยู่ที่นี่อย่างไรก็ยังดีกว่าที่บ้าน แต่ผมก็อดคิดถึงทุ่งนากว้างใหญ่ อดคิดถึงเพื่อนๆ ที่นั่นไม่ได้สักที เพราะนอกจากไอ้ดื้อแล้วผมก็ไม่มีเพื่อนที่นี่เลยนี่นา

          รถของเด็กพวกนั้นแผดเสียงดังลั่นผ่านหน้าบ้านเราไป แต่วันนี้ไม่มีเสียงของมันเห่าไล่หลังเหมือนทุกวัน... เรานั่งกินข้าวกันเงียบๆ ตะวันดวงโตเห็นได้เมื่อมองผ่านประตูออกไป เย็นนี้มันช่างดูเงียบเหงามากเลย
          "พ่อไม่ได้ฆ่ามันใช่ไหม" ผมอดที่จะหันไปถามพ่อไม่ได้
          "ไม่ได้ฆ่า...!" พ่อลากเสียงหนัก "มันไปกินหญ้าที่พ่อเพิ่งพ่นยานั่นแหละ ทำให้มันตาย" พ่อตอบก่อนหันไปหยิบชิ้นเนื้อทอดจากสำรับขี้นมา "กินเข้าไปเถอะ สัจปิเซส์** เชียวนะ ไม่ใช่จะมีทุกวันนะเอ็ง" พ่อพูดพลางส่งชิ้นเนื้อเข้าปาก ผมก้มมองเนื้อทอดในชามนั่นอีกครั้งก่อนหยิบมันขึ้นมา.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

*กบาลรึง = ดื้อ หัวดื้อ
**คนขแมร์มักเลี่ยงใช้คำว่า สัจปิเซส์ (เนื้อพิเศษ) แทนการเรียกเนื้อสุนัข

วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: สุภาพ-ปัญญา


          เที่ยงแล้ว แม้จะสั่น แต่สองมือน้อยนั้นคงเหนี่ยวดึง พร้อมกับสองเท้าที่ช่วยถีบส่งให้เจ้าของร่างไต่ระดับสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สุดท้ายเขาก็โหนตัวขึ้นไปอยู่บนทางมะพร้าวได้สำเร็จ
          โซะเภียบ เด็กชายวัยสิบสองนั่งอยู่บนยอดมะพร้าวกับเสียงหายใจหอบถี่บ่งบอกถึงความอ่อนล้า ยิ่งสาย เด็กน้อยก็รู้สึกว่ายอดมะพร้าวมันยิ่งสูงขึ้น สูงขึ้น เขาจำไม่ได้ว่าปีนมากี่ต้นต่อกี่ต้นแล้วในวันนี้ เด็กน้อยรู้แต่ว่าตอนนี้เขาเหนื่อยและหิวมาก ตั้งแต่เช้าแล้วที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย นอกจากมะพร้าวอ่อนที่พอช่วยบรรเทาอาการแสบท้องบ้างเท่านั้น
          ปัญญา พี่ชายของเขายืนจับปลายเชือกอยู่ข้างล่าง พี่ชายส่งสัญญาณบอกให้ตัดมะพร้าวขณะที่คอยดึงเชือก และค่อยๆ หย่อนเพื่อให้ทะลายมะพร้าวที่มัดอยู่ลงมาบนพื้นดินอย่างนิ่มนวลที่สุด เขาสองฅนต่างผลัดกันขึ้นผลัดกันโยงลูกมะพร้าวอยู่อย่างนี้มาครึ่งค่อนวันแล้ว วันนี้มีมะพร้าวเยอะ มันก็ดีที่เขาจะได้เงินเยอะขึ้น
          เมื่อตัดเสร็จต้นโซะเภียบก็นั่งลงมากับมะพร้าวทะลายสุดท้ายสู่พื้นดิน เมื่อเช้านี้เขายังเฮฮากันอยู่เลยกับวิธีลงแบบนี้ แต่ยามนี้ทุกอย่างคืองานจริงๆ สองพี่น้องมองหน้ากัน เหนื่อยเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา หากรับรู้ได้จากแววตาอ่อนล้านั้น 'อดทนหน่อย เดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว'

          วันนี้ได้ค่าแรงเยอะเป็นพิเศษ เหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้ม หากได้ค่าแรงดีๆ แบบนี้บ่อยๆ ความฝันของเขาคงอยู่ไม่ไกล แถวนี้บางบ้านมีไฟฟ้าใช้กันแล้ว แต่บ้านของพวกเขายังต้องอาศัยพลังงานแสงสว่างจากแบตเตอรี่รถยนต์กันอยู่เลย เขาอยากมีไฟฟ้า มีจานดาวเทียมที่ดูทีวีไทยได้ แม่ของเขาชอบดูละครไทย โดยเฉพาะเรื่อง ปรอกายปรึก* ซึ่งคนที่นี่เคยติดกันงอมแงม แต่ตอนนี้ละครไทยเป็นสิ่งต้องห้ามในทีวีขแมร์**  โซะเภียบจำได้ว่าเขาเคยถามแม่ว่าทำไม 'เป็นเด็กไม่ต้องรู้หรอก รู้แต่ว่าเขาห้ามก็พอ' เป็นเด็กไม่ต้องรู้หรอก คำนี้ทำให้เขาต้องเงียบเสียทุกครั้งไม่ว่าเรื่องอะไร

          บ่ายคล้อย... จักรยานเก่าๆ คันหนึ่งคือพาหนะที่พาเขาและพี่ชายกลับบ้าน มันก็ดีที่ไม่ต้องเดิน แต่หลังจากเหนื่อยล้ามาแล้วครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็ชักไม่แน่ใจกันแล้วว่า ระหว่างเดินกับปั่นจักรยานนี่อย่างไหนจะดีกว่ากัน 
          ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางตรงสามแยกนั่น มันช่างเชิญชวนยิ่งนักในยามที่หิวจนแสบท้องแบบนี้ โซะเภียบปั่นจักรยานช้าลง ช้าลง ก่อนจอดสนิท กลิ่นกรุ่นจากหม้อก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ โชยฟุ้ง 
          "กลับไปกินข้าวที่บ้าน" ปัญญาบอกน้องอย่างรู้ทัน ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งสามพันห้าร้อยเรียล มันเป็นเงินไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับพวกเขา น้องชายมองเลยไปยังกองหอยตากที่คลุกเคล้าพริกเกลืออย่างยั่วยวน 
          "ซื้อหอยตากได้มั้ย" โซะเภียบต่อรอง 
          "เอาเงินไปให้แม่ก่อนแล้วค่อยขอแม่มาซื้อ" ปัญญาบอกน้องชาย

          แม่ไม่อยู่บ้านเมื่อสองพี่น้องมาถึง คงยังไม่กลับจากงานในไร่นั่นแหละ
          "กลับมากันแล้วเรอะ" เสียงพ่อทักทาย  โซะเภียบรู้สึกผิดหวังขณะที่พี่ชายล้วงเงินทั้งหมดในกระเป๋าส่งให้กับพ่อ เขารู้ดีว่าถ้าเงินถึงมือพ่อ ส่วนหนึ่งมันจะหายไปกับน้ำเมา และวงน้ำเต้าปูปลาที่เล่นกันอย่างเสรีในหมู่บ้าน พ่อของเขาจะต่างจากผู้ชายขแมร์ฅนอื่นตรงที่ไม่ต้องทำงานอะไร เขาเคยถามแม่เช่นกันว่าทำไมพ่อถึงไม่ต้องทำอะไร 'ก็เขาเป็นพ่อ' นั่นคือคำตอบ

          เด็กชายได้แต่มองตามหลังพ่อ ซึ่งเดินจากไปพร้อมค่าหอยตากที่เขายังไม่ทันจะได้ขอจากแม่เลย
          "อาย้าน่ะ ไปดูวัวก่อนนะ หาน้ำให้มันกินด้วย" เป็นเสียงพ่อที่ยังหันกลับมาสั่ง โซะเภียบรู้ว่าพี่ชายของเขานั้นทั้งเหนื่อยและล้าแค่ไหน แต่พี่ยังคงก้มหน้าปั่นจักรยานไปนาโดยไม่ปริปากสักคำ 'เพราะว่าเป็นลูก'

*****************************************

*ดาวพระศุกร์
**ปัจจุบันได้มีการยกเลิกคำสั่งห้ามแพร่ภาพละครไทยทางทีวีขแมร์แล้

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: สุธา


          ผมชื่อโซะเธียอายุเก้าขวบ ผมมีกระบองคู่ใจอันหนึ่ง มันทำจากไม้ไผ่ ซึ่งผมจะถือติดตัวตลอดเวลาเลย

           หมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอระตะนะม็อณฎอล ผมอยู่กับยายเพียงสองฅนที่นั่น พ่อ แม่ และพี่ชายของผมไปทำงานที่เมืองไทยกันหมด ผมเคยไปเมืองไทยหนหนึ่งเหมือนกันนะ...

          ค่ำคืนนั้น เสียงเพลงฝรั่งจากร้านอาหารริมทะเลดังคึกคักทีเดียว ทุกสิ่งดูตื่นตาตื่นใจผมไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกองฟืนสุมไฟบนลานชิดหาดทรายซึ่งกำลังส่องแสงวูบวาบอยู่นี่ หรือแสงเทียนจากโต๊ะเตี้ยๆ ที่ตั้งรายล้อมอยู่นั่นก็ตาม นักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝรั่งตัวโตหัวแดงนั่นก็ทำให้ผมตื่นเต้นได้อีกเช่นกัน พวกเขาบ้างนั่งดื่มกินบ้างยืนล้อมชมการแสดงรอบกองไฟกันอยู่
          ที่หน้ากองไฟนั้น โซะเภีย พี่ชายอายุสิบสี่ของผมกำลังทำการแสดงโชว์ควงกระบองไฟที่ผมไม่เคยเห็นเขาทำมาก่อน มันทำให้อดจะชื่นชมเสียไม่ได้ เหมือนว่าพี่ชายกำลังเล่นอยู่กับวงล้อไฟเลย ยิ่งเห็นนักท่องเที่ยวชื่นชอบการแสดงของเขาผมยิ่งภูมิใจ พี่ชายโยนกระบองขึ้นไปสูงที่เดียวและรับมันไว้ได้ เขาโค้งคำนับเมื่อจบการแสดง ทุกฅนปรบมือกันเกรียวเลย บางฅนก็มาขอถ่ายรูปด้วย ผมได้แต่ยิ้มมองพี่ชาย หากแต่จู่ๆ แหม่มฅนหนึ่งที่มาขอถ่ายรูบก็ก้มลงหอมแก้มพี่เภียเฉยเลย ทำเอาผมถึงกับตะลึงยกมือปิดตาไม่ทันทีเดียว

          วันนั้นผมได้เล่นน้ำทะเลเป็นครั้งแรกด้วย ทะเลมันกว้างใหญ่และสวยงามกว่าที่คิดไว้มากเลยจริงๆ นะ
          "แหวะ มันเค็ม" ผมร้องออกมาเมื่อได้รับรู้รสชาตินั้น พี่ชายก็ยังจะหัวเราะขำอีก
          "เออสิ จะให้มันหวานรึไง" เขาตอบกวน
          "ไม่รู้นี่..." ผมบ่นอ่อยๆ ออกมา เราเล่นน้ำกันจนเหนื่อยก็มานั่งกับพื้นมองดูคลื่นซัดทราย
          "ทำไม มีไร" พี่ชายถามเมื่อผมมองหน้าเขาและอดยิ้มขำไม่ได้
          "พี่โดนจูบด้วย" ผมทำปากยื่นใส่เขาตรงคำว่าจูบ แล้วก็หัวเราะ
          "อิจฉาล่ะสิ" เขากลับทำกวนด้วยการเชิดใส่
          "แหวะ!" ผมเบ้ปากร้องเสียงดังและทำท่าขยะแขยง แต่เขากลับเอามือมาขยี้หัวผมและหัวเราะร่า ผมไม่ยอมให้เขาทำฝ่ายเดียวหรอกต้องเอาคืนบ้าง เราจึงปล้ำกันอยู่บนหาดทรายนั่นแหละ

          ยิ่งตกเย็นทะเลก็ยิ่งสวย ฟ้าเป็นสีทอง น้ำก็ระยิบระยับจากแสงตะวันเลยทีเดียว ผมอดคิดถึงบ้านไม่ได้ มันต่างจากที่นี่มากเลย ฝรั่งผมแดงนั่นก็เช่นกัน พวกเขาดูต่างจากเรามากทีเดียว ไม่ใช่แค่รูปร่างสูงใหญ่เท่านั้นด้วย...

          "ทะเลสวยดีนะพี่" ผมพูดขึ้นระหว่างเดินกลับที่พัก
          "อืม! พี่มาทีแรกก็ตื้นเต้นแบบเอ็งนี่แหละ" พี่ชายพูดพลางสะกิดให้ดูคู่ฝร้่งชายหญิงยืนจูบกันในน้ำพลางหัวร่อคิกคัก ผมล่ะอายแทนเลย

          "ไอ้เธีย! ตื่นได้แล้ว" เสียงไก่ขันมาแข่งกับเสียงปลุกของยายแต่เช้า ผมงัวเงียตื่นขึ้นมานั่งงง ต้องทำอะไรก่อนนะ โยนผ้าห่มกองไว้ข้างฝาก่อนแล้วกัน หลังจากเอาวัวออกไปล่ามในทุ่งแล้วผมก็ตักน้ำจากบ่อมาลูบหน้า ใช้พลั่วตักขี้วัวใส่บุ้งกี๋หิ้วไปเทกองรวมกันข้างลานบ้าน นั่นแหละคืองานประจำทุกเช้าก่อนไปเรียนของผม
          "ไอ้นี่! รีบแต่งตัวไปโรงเรียนสิ" ยายหันมาดุเมื่อเห็นผมยังคงแกว่งกระบองเล่น ผมวิ่งขึ้นบ้าน ซุกกระบองไว้ข้างฝาที่มีของวางอยู่เต็มนั่นแหละ กางเกงนักเรียนขายาวพาดอยู่บนราวเชือก ผมถอดชุดเก่าพาดราวไว้ หยิบกางเกงขึ้นมาสวม เสื้ออยู่ตรงไหนนะ ผมแหวกหาดู มันอยู่นี่เอง เมื่อหยิบกระเป๋าเก่าๆ มาสะพายหลังผมก็พร้อมแล้ว เสียงไอ้ดากับไอ้มุดเรียกมาพอดี ผมรีบลงบ้านรับเงินสองร้อยเรียล ยกมือไหว้ยายแล้วก็วิ่งออกมา

          "น้ำทะเลมันเค็มนะ และทะเลมันก็ใหญ่มากด้วย" ผมโม้เรื่องเมืองไทยที่เพิ่งจากมาให้สองฅนนั่นฟังตลอดทาง รู้ว่าพวกมันต้องชอบฟังเพราะไม่เคยไปไทยกัน

          "พี่ชายข้าเป็นนักควงกระบองไฟด้วยนะโว้ย" ตอนบ่ายหลังเลิกเรียนพวกเราก็ลงทุ่งไปดูวัวของเรากัน ผมยังไม่วายจะคุยอวดพวกมันหลังจากตักน้ำให้วัวเสร็จแล้ว ผมหยิบกระบองขึ้นมาควงให้พวกมันดู
          "แค่นี้นะ" ไอ้ดาทำเสียงเยาะและทำสีหน้าเซ็งขณะถาม
          "เออ ข้าทำได้แค่นี้แหละ เอ็งต้องเห็นพี่ข้า พี่ข้าเก่งนะโว้ย" ผมพูดพลางลองควงท่าง่ายๆ ที่พี่ชายสอน "เอ็งลองดูมั้ยล่ะ" ผมยื่นกระบองให้ ไอ้ดารับไปหมุนเก้ๆ กังๆ ผมกับไอ้มุดอดขำท่าทางของมันไม่ได้
          "ไม่เอาหละ ไม่เห็นหนุกเลย" มันบอกพลางส่งไม้คืน ผมรู้ว่ามันอายที่ควงกระบองได้แย่กว่าผมเสียอีก
          "เอ็งจะลองไหม" ผมถามไอ้มุดพลางส่งไม้ให้มัน
          "เล่นน้ำกันดีกว่า" มันกลับหันหลังให้แล้วถอดเสื้อผ้าวิ่งออกไป ผมกับไอ้ดาจึงถอดเสื้อผ้าโดดลงน้ำตามมันไปเช่นกัน

          "ฝรั่งนะมันตัวโตมากเลย ผมเป็นสีแดงด้วย" ผมเล่าเรื่องเมืองไทยให้มันฟังอีกระหว่างเดินไปโรงเรียนด้วยกันในเช้าวันนี้ แต่ไอ้ดากลับรีบสวนมา
          "เอ็งคุยเรื่องอื่นเหอะ ข้าเบื่อเรื่องเมืองไทยแล้วว่ะ"
          ผมหันมองไอ้มุด มันก็ได้แต่ยิ้ม ผมจึงต้องพยักหน้าและเดินตามพวกมันไปเงียบๆ
          "มีเงาะขายด้วย" ไอ้ดาชี้มือให้ดูกองเงาะขนช้ำดำเหี่ยวที่ร้านค้าในโรงเรียน
          "ซื้อมั้ย" มันหันมาถาม ผมส่ายหน้า
          "เอ็งเอาเหอะ ตอนไปไทยข้ากินจนเบื่อแล้ว" มันสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มก่อนพากันไปซื้อเงาะเหี่ยวๆ นั่น
          "ที่เมืองไทยนะ เงาะลูกใหญ่ๆ สดๆ กว่านี้ด้วย" ผมพูดขึ้น
          "พอเหอะเอ็ง เมืองไทยอีกแล้ว" ไอ้ดารีบตัดบท ไอ้มุดก็พยักหน้ารับกันเป็นปี่เป็นกลอง ผมชักไม่พอใจเหมือนกันนะ

          "ท่านี้ใช้มือเดียว บิดไม้กลับไปมา พร้อมกับเหวี่ยงซ้ายขวา" ผมหัดควงกระบองไปนึกถึงที่พี่ชายสอนไป ท่านี้ไม่อยากเท่าไร
          "ท่านี้จับไม้ด้วยมือขวา บิดข้อมือ ยกแขนขึ้นด้านบน ใช้มือซ้ายรับไม้จากด้านหลัง บิดข้อมือ ลดแขนลงล่าง" ท่านี้ยากทีเดียว ผมยังทำได้ไม่ดีเท่าไร คงต้องพยายามให้มากขึ้น
          "ไอ้เธีย! ไปเล่นน้ำกัน" เสียงไอ้มุดตะโกนมาแต่ไกล มันมาคนเดียวไม่มีไอ้ดามาด้วยวันนี้
          "ขี้เกียจ" ผมตอบมันไปโดยไม่ได้หันมอง
          "เอ็งก็บ้าแต่กระบอง จะควงไปทำไม" มันพูดเมื่อเดินมาถึง ผมหยุด จับกระบองทิ่มดินมองดูมัน
          "ข้าจะเป็นนักควงกระบองไฟ ข้าจะไปอยู่เมืองไทย"
          "เอ็งมันบ้า บ้ากระบอง บ้าเมืองไทย ไปมาหน่อยเดียวทำเห่อ" มันเยาะเย้ยทั้งสีหน้าและน้ำเสียงซึ่งผมไม่ชอบแบบนี้เลยจริงๆ
          "เออ! ทำไม" ผมตะคอกกลับให้รู้ว่าไม่พอใจ "เรื่องของข้า เอ็งไม่ต้องมายุ่ง"
          "ไอ้เซี้ยมบ้า" มันตะโกนใส่ก่อนวิ่งออกไป ผมหันมาควงกระบอกของผมต่อ แม้ความสนุกดูจะลดลงไปบ้างก็ตาม
          "เราไม่จำเป็นต้องหมุนให้ไวมากนักก็ได้ ความกว้างของวง จะทำให้มองเหมือนว่ามันไว" คำสอนของพี่ชายยังคงดังอยู่ในหัว
          "ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม" ยิ่งเวลาจุดไฟมันจะยิ่งดูสวยงาม จริงสินะ ผมน่าจะลองดูบ้าง วันนี้ยายไม่อยู่ด้วย เหมาะทีเดียว
          หลังจากหาผ้ามาพันปลายไม้ทั้งสองด้าน เทน้ำมันจากตะเกียงลงไปแล้ว ผมก็จุดไฟ ยกขึ้นหมุนๆ

          หน้ากองไฟลุกโชนท่ามกลางผู้คนรายล้อมนั้น เด็กชายเก้าขวบโชว์ควงกระบองไฟอย่างคล่องแคล่ว ผมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง นักท่องเที่ยวขอถ่ายรูปคู่เมื่อจบการแสดง อดแขยงขนไม่ได้เมื่อคิดว่าหากมีใครมาหอมแก้มในเวลานั้น... จู่ๆ เปลวไฟจากปลายไม้ ก็หลุดลอยไปทางครัวอย่างไม่ทันได้ระวัง ผ้าที่ผูกมัดไว้คงไม่แน่นหนาพอ ไฟติดในทันที ผมได้แต่มองดูเปลวไฟลามเลียหลังคาหญ้าด้วยความตกใจ
          ไฟไหม้โหมแรงอย่างรวดเร็ว ผมยังคงยืนตัวสั่นขณะที่ชาวบ้านส่งเสียงเอะอะ หลายฅนช่วยกันเอาน้ำดับ แต่น้ำในตุ่มก็มีไม่เพียงพอ น้ำในบ่อก็อยู่ในระดับที่ลึกมาก การดับไฟจึงดูทุลักทุเลพอควร...

          ในที่สุดชาวบ้านก็ช่วยกันดับไฟลงได้ แต่ครัวก็ไหม้หมด โชคดีที่บ้านไม่เป็นอะไร... ผมคงได้แต่ก้มมองกองเถ้าถ่านตรงหน้า รับฟังเสียงยายด่าทอพลางวาดฝ่ามือใส่เป็นระยะไปตามอารมณ์โกรธของแก ยาดหวดผมทั้งน้ำตา นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดในการกระทำ ผมจึงไม่คิดหลบเมื่อยายหยิบกระบองอันนั้นมาโขกหัวอย่างเหลืออด คงได้แต่ยืนนิ่งกระทั่งยายเหวี่ยงมันทิ้งไปในที่สุด

          เวลาหลายวันผ่านไป กับความรู้สึกผิดที่ยังคงอยู่ในใจแม้ครัวจะได้รับการสร้างใหม่แล้วก็ตาม... ผมลืมกระบองของผมไปเลย ไม่อยากจะนึกถึงมันด้วยนั่นแหละ จนกระทั่ง...

          ขณะที่เดินอยู่ปลายเท้าก็สะดุดโดยบังเอิญ กระบองของผม ผมก้มมองและหยิบมันขึ้นมา ปัดเศษดินที่ติดอยู่ออกไปแล้วลองจับควง หากแต่ความรู้สึกผิดที่ยังมีอยู่ทำให้ผมต้องเหวี่ยงมันทิ้งอย่างไม่ใยดี

          "โอ๊ย!..."
          ผมหันมองตามเสียงร้องที่ดังมาจากทางที่เหวี่ยงกระบองออกไป
          "อะไรวะ มาถึงก็ปาไม้ใส่กันเลยเหรอ" พี่เภียนั่นเองที่กำลังเอามือลูบหัวพลางบ่นพึมพำ
          "พีเภียมา!... พีเภียมา!..." ผมยิ้ม ร้องเสียงดังและวิ่งไปกอดเขาแน่นเลย
          "พอ! พอ! ไม่ต้องดีใจมาก" พี่ชายเอ่ยปราม
          "พี่จะอยู่นานไหม" ผมมองหน้าถาม
          "นานไหม..." เขายังคงทวนคำพูดด้วยท่าทางกวนเหมือนเดิม "บางทีอาจจะนานสักหน่อย หรือไม่ก็ตลอดไป" นั่นทำให้ผมยิ้มได้อีก "พอพ่อรู้ว่ามีเด็กจะเผาบ้าน" เขาเอานิ้วมาจิ้มหน้าผม "ก็เลยให้พี่มาคอยดูแลไง" พี่เภียพูดพลางยักคิ้วใส่ "ความจริงตอนนี้มันไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวด้วยนั่นแหละ" พี่ชายอธิบาย

          "ว่าแต่..." เขาพูดพลางก้มลงหยิบกระบองอันนั้นชูขึ้น "ไม่สนใจมันแล้วรึไง"
          ผมยิ้มกว้างออกมาทันที.

ชีวิตเปื้อนสุข: เขาสำเภา


          "ไหวเหรอลุง" ผมถามพลางมองบันไดสูงชันนั่นแล้วถึงกับถอดใจเลยทีเดียว
          "ต้องไหวสิ แค่นี้เอง" ลุงยิ้มขำก่อนตอบมา คำว่าแค่นี้ของลุงมันหมายถึงบันไดพันกว่าขั้นที่จะพาเราไปสู่ยอดเขาสำเภา หรือ พนมซ็อมโภว แห่งบัตด็อมบอง* นี่เลยนะ
          "ข้ามเขาบรรทัดมาได้แล้วแค่นี้จะประสาอะไร" ลุงยังทำเป็นยิ้มถาม โธ่! ก็หมดแรงกับเขาบรรทัดไปแล้วนี่นา ผมแค่คิดในใจไม่ได้ตอบไปหรอก
.          "ทำไมเราไม่นั่งรถเครื่องขึ้นกันล่ะครับ" ผมรู้ว่าอีกด้านของเขาสำเภาจะมีเส้นทางให้รถวิ่งขึ้นไปได้ และมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดรอบริการอยู่
          "เดินขึ้นนั่นแหละเห็นอะไรได้ทั่วดี" ลุงบอกขณะนำผมไต่บันไดขึ้นไป
          "ก็นั่งรถเครื่องขึ้นแล้วเดินลงก็ได้นี่ครับ" ผมยังคงต่อรอง
          "สิ้นเปลืองเปล่าๆ และไอ้การได้ออกแรงบ้างนี่ บางครั้งก็ทำให้เราได้ภูมิใจนะ"
          ผมไม่คิดว่าลุงจะเสียดายค่ารถขึ้นเขาอย่างที่พูดหรอก แต่ก็เอาวะ จะได้ไปคุยได้ว่า ตัวข้านี้พิชิตยอดเขาสำเภามาแล้ว ด้วยขาทั้งสองข้างนี่แหละ...

          ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเยือนแผ่นดินแม่ ผมถือสัญชาติไทยมีแม่เป็นฅนขแมร์ แม่ของผมอพยพเข้าสู่เมืองไทยนานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งสงครามเพิ่งเริ่มต้นนั่นทีเดียว แม่ได้แต่งงานกับพ่อที่เป็นฅนไทย และไม่เคยได้กลับมาที่นี่อีกเลย ผมได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ของแผ่นดินนี้จากปากของแม่มาตลอดตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้ผมอยากที่จะได้มาเยือนสักครั้ง ซึ่งกว่าจะมีโอกาสก็เลยช่วงวัยรุ่นมาพอสมควรนั่นแหละ...  เป็นเพราะแม่ได้เจอญาติฅนอื่นๆ ที่ตราดโดยบังเอิญ และได้รู้ว่าพวกเขายังมีการลักลอบข้ามเขาบรรทัดติดต่อกันเป็นประจำ ยายผมและพี่น้องของแม่ยังอยู่ที่นี่ แม่จึงชวนผมข้ามแดนมากับพวกเขาเพื่อรับยายไปอยู่ด้วยกัน ซึ่งผมไม่ยอมพลาดโอกาสแบบนี้แน่นอน
          เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอยายและญาติๆ ทางฝั่งขแมร์ พวกเขาส่วนใหญ่จะพูดไทยได้ แม้จะไม่มากนักแต่ก็มากกว่าที่ผมพูดขแมร์ได้เสียอีก แม่เคยบอกว่าที่จริงยายผมเป็นฅนไทย แต่มาอยู่ที่นี่เพราะได้กับตาซึ่งเป็นฅนฝั่งนี้ จะว่าไปแล้วเรื่องของแม่กับยายนี่ดูจะสลับกันทีเดียว ส่วนตาของผมนั้นได้จากไปนานแล้ว ก่อนที่แม่จะจากบ้านเกิดไปไทยเสียอีก
          ทุกฅนต่างดีใจกับการมาเยือนของเรา โดยเฉพาะลุง แกดูจะดีใจมากที่ได้เจอผม เมื่อวานแกพาไปเที่ยวที่ตัวจังหวัด นั่นทำให้ผมได้เจอมันในระหว่างทาง มันดูสะดุดตาที่เดียว ภูเขาหินปูนซึ่งโผล่มาท่ามกลางพื้นที่ราบเรียบกับสิ่งก่อสร้างทางศาสนาบนนั้น เขาสำเภาที่ผมกำลังได้สัมผัสกับมันอยู่นี่แหละ ลุงเห็นว่าผมสนใจจึงพามาในวันนี้
          ด้วยวัยหกสิบกว่าแล้ว แต่ลุงดูไม่เหนื่อยเลยกับการปีนบันไดสููงชันแบบนี้ เป็นผมเสียอีกที่ออกอาการอย่างเห็นได้ชัด... ผืนนาราบเรียบที่มองจากมุมสูงในจุดพักช่วงหนึ่งนั้น ช่วยให้ชื่นใจพอคลายความเหนื่อยล้าไปได้ ระหว่างทางที่เราขึ้นมาจะมีจุดพักซึ่งลุงต้องเสียเงินเป็นระยะ ตู้บริจาคกับรูปเคารพทางศาสนามีอยู่ตลอดทาง ซึ่งลุงจะหยุดไหว้ทุกครั้ง ไหว้เสร็จก็จะหยอดเงินใส่ตู้เสียทุกครั้งไป
          "เจ้ากำลังมีเคราะห์นะ ค่อนข้างสาหัสทีเดียว" แม่ชีที่กวักมือเรียกลุงเข้าไปกำลังทำนายดวงผ่านลายมือให้กับลุง เดี๋ยวก็มีอะไรมาเสนออีก ผมยืนคิดในใจด้านนอกไม่ได้เข้าไปกับแกหรอก
          "หาเวลาทำบุญเสดาะเคราะห์บ้างนะ" แม่ชีว่าพลางหยิบสายสิญจน์บนพานยื่นให้ "ตามแต่ศรัทธานะ" นั่นไงว่าแล้วเชียว... เมื่อลุงจ่ายเงินเป็นค่าบูชาสายสิญจน์เสร็จแม่ชีก็หยิบขวดสเปรย์ฉีดพรมให้ เป็นการพรมน้ำมนต์ที่ทันสมัยไม่น้อยเลยทีเดียว ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
          ในทีสุดเราก็ฟันฝ่าบันไดกว่าพันขั้นขึ้นมาสำเร็จจนได้ ลุงยื่นด้ายสายสิญจน์ที่รับมาเมื่อสักครู่ส่งให้
          "ใส่ไว้" ลุงบอกสั้นๆ ผมมองแบบตั้งคำถาม ลุงพยักหน้า "ใส่ไว้เถอะ"
          ผมรับมาคล้องคอเพราะไม่อยากขัดใจลุงเสียมากกว่า คิดว่าเดี๋ยวกลับถึงบ้านค่อยถอดออกก็แล้วกัน... ลุงยังไม่พาผมขึ้นจุดสูงสุดของยอดเขาเสียทีเดียว กลับพาวนไปตามถ้ำต่างๆ กันก่อน เราเสียเงินค่านำชมถ้ำมืดๆ ในเส้นทางที่ผมกะว่าไม่น่าเกินสิบเมตรให้มัคคุเทศก์ตัวน้อยเสร็จลุงก็พาเดินอ้อมกันต่อ ผ่านรูปปั้นตามความเชื่อทางวรรณคดีและศาสนา ทั้งที่ปั้นเสร็จแล้วและกำลังก่อสร้างมาตลอดทาง ลุงจ่ายเงินให้กับเด็กๆ ที่มามุงขอกันอยู่ช่วงหนึ่งอีก ผมว่าวันนี้ลุงหมดเยอะทีเดียว น่าจะมากกว่าค่ามอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาหลายเที่ยวด้วยซ้ำ

          ลุงพามาถึงถ้ำหนึ่งในที่สุด ทีนี่ผมสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกอย่างน่าประหลาดขณะเดินลงไป หัวกะโหลกมนุษย์กองอยู่ในเรือนกระจกซี่งลุงบอกว่าเป็นโกฏกับอากาศหนาวเย็นนั้นก็ทำให้ผมขนลุกได้เหมือนกัน
          "สมัยเขมรแดงใช่มั้ยครับ" ผมถาม ลุงพยักหน้าและยืนมองกองกะโหลกหลังกระจกกั้นนั้นนิ่งนาน...
          "หาเวลาสะเดาะเคราะห์บ้างนะ" ชายที่แต่งตัวแบบหมอผีพูดบอกเมื่อลุงหยอดเงินใส่ตู้บริจาค

          ท่าทีของลุงดูนิ่งมากหลังออกจากถ้ำนั้นมา
          "มีเรื่อราวและเหตการณ์มากมายเกิดขึ้นที่นี่" ลุงเล่าขณะพาผมสู่ยอดเขา "แต่ละเรื่องโหดร้ายนั้นเกิดจากการกระทำของคนเชื้อชาติเดียวกัน" ลุงเอ่ยถ้อยคำที่ฟังเหมือนแกต้องการระบายบางอย่างออกมามากกว่า ผมจึงฟังและเดินตามไปเงียบๆ

          "เรากบฏต่อกษัตริย์ เพราะมัวเมาอำนาจ มักใหญ่ไฝ่สูง นั่นนำมาสู่การเข่นฆ่าอันโหดร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะกระทำต่อชนชาติเดียวกันได้ มันเป็นความอัปยศอดสูเกาะกินใจให้เกิดแผลที่ยากจะรักษา" ลุงพูดไทยบ้าง ขแมร์บ้างปนกันไป ซึ่งผมก็ฟังออกบ้างเดาเอาบ้างไปตามเรื่อง
          เราเดินกันมาเรื่อยผ่านรูปปั้นหนุมานที่ราวกำแพง
          "ฝรั่งเศส อเมริกา เวียดนาม มันยุ่งเหยิงไปหมด พนมเปญร้าง ฅนตายนับล้าน หลายล้าน หรือเกือบครึ่งประเทศ ความทุกข์ยากและโหดร้ายครอบคลุมไปทั่วหลายสิบปี"
          เราเดินดูรอบเจดีย์บนยอดเขาและเลยมายังด้านหนึ่ง ที่ซึ่งพื้นหินมีช่องโหว่ลึกลงไปในดิน ปล่องถ้ำ ผมมองลอดช่องไปยังพื้นเบื้องล่าง มันค่อนข้างลึกมากเลยทีเดียว
          "ฅนที่ต้องมาจบชีวิตที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ใช่จากมีด ไม้ หรือปืน หลังจากถูกทารุณถูกทุบตีแล้ว พวกเขาก็จะถูกถีบลงปล่องนี้ ปล่อยให้ไปพบความตายเบื้องล่างกันเอง"
          ผมมองปล่องลึกนั่นแล้วให้สยองกับคำบอกเล่าของลุง ตอนนี้ท้องฟ้าดูอึมครึมจากเมฆฝนที่ริ่มก่อตัว ลมเย็นพัดสัมผัสผิวกาย
          "เหตุผลของการสังหารมันงี่เง่ามาก เพราะพวกเขามีความรู้ เป็นพวกศักดินา ฅนรวย เป็นพระ หรือเพราะว่าพวกเขาฉลาดเกินไป" ตอนนี้ลุงนิ่งและดูเครียดขรึมจนผมรู้สึกอึดอัด "เราไม่ได้ฆ่าฅนชาติเดียวกันแต่เท่านั้น หากบางครั้งมันหมายถึงฅนรู้จัก ฅนที่เรารัก เพื่อน หรือแม้แต่ญาติสนิท" ลุงพูดพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยันที่มุมปาก

          ผมนึกว่าลุงจะพากลับแล้วเมื่อเดินลงมา แต่แกกลับพาเลี้ยวไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่อยู่ซ้ายมือซึ่งขาขึ้นผมไม่ทันได้สังเกต ลุงพามายังด้านล่างของถ้ำที่เรามองจากด้านบนเมือสักครู่ ความรู้สึกเย็นเยือกนั้นกลับมาอีกครั้ง ลุงยืนนิ่งอยู่เชิงบันไดกับแววตาที่พยายามซ่อนความรู้สึกบนใบหน้าเรียบเฉยนั้น ฝั่งตรงข้ามมีทางขึ้นเช่นกัน ผมก้าวลงพื้นถ้ำขณะที่ลุงยังคงยืนนิ่งดุจเดิม เมื่อแหงนมองหินงอกหินย้อยและช่องโหว่ด้านบนสุดก็อดสยองแทนร่างที่ถูกปล่อยให้ร่วงลงมาอีกไม่ได้  ฝนเริ่มลงเม็ด ฟ้าแล่บส่งเสียงครืนดังก้อง สายลมเย็นดังหวีดหวิวแทรกมาตามผนังถ้ำ ผมหันมองลุงหวังจะชวนแกออกจากที่นี่เพราะรู้สึกไม่ชอบบรรยากาศชวนสยองนี้เอาเสียเลย หากแต่รู้สึกได้ถึงผงฝุ่นและเศษหินที่ร่วงลงมาพร้อมกับเสียงลั่นจากด้านบน
          "เฮ้ย!" ผมร้องเสียงดังขณะแหงนมองเพดานที่ถล่มที่ลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ขยับตัวร่างผมก็ถูกอัดกระแทกโถมทับก่อนสติจะวูบดับไป

          "เจ็ย... เจ็ย..." ผมรู้สึกตัวเมื่อร่างถูกเขย่า หูแว่วเสียงเรียก รับรู้ได้ถึงเม็ดฝนที่สัมผัสร่าง พยายามลืมตาอย่างยากลำบาก มืด มืดมาก คอผมแห้งผาก ตัวร้อนหนาวสั่น หัวหนักอึ้งและปวดร้าวไปหมด
          "เจ็ยตื่นสิ" ผมโดนลากและถูกประคองให้ยืนขึ้น
          "ลุง" ผมพยายามเรียกออกมาอย่างยากลำบากขณะฝืนทรงตัว
          "ทำใจดีๆ ไว้ เราจะออกไปจากที่นี่กัน" ลุงบอกพร้อมประคองผมออกเดิน หากแต่เงาดำสูงใหญ่ที่หน้าบันไดท่ามกลางสายฝนนั่น มันมองเราอย่างขมึงทึง ผมรู้สึกได้แม้ในความมืดมิด
          "ออก ไป ไม่ได้" เสียงนั้นแหบพร่าและบีบคั้นความรู้สึกนัก
          "หลีกไปให้พ้น" ลุงตะหวาดสวนไป เสียงหัวเราะแหบๆ แผดออกมาจากร่างนั้นแทน
          "ไอ้ เจี้ยต มึงจะรีบ ไปไหน พวกกูรอ มึงมานาน นานมาก มึงดูพวก มันสิ ไอ้เพื่อน"
          รอบตัวเราเริ่มปรากฏเงาร่างสูงใหญ่มากมาย มันค่อยๆ ชัดขึ้น และมากขึ้น ตอนนี้พวกมันแออัดกันเต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เพดานถ้ำที่มองเห็นช่องโหว่กว้างนั่นด้วย ทุกใบหน้าต่างแสดงความมุ่งร้ายมาที่เรา เสียงหัวเราะโหยหวนแหบพร่าเริ่มขึ้นก่อนดังก้องประสาน ผมตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีเท่านี้มาก่อน... หันมองลุงที่ค่อยๆ ปล่อยมือ แกหันมาจ้องหน้าผมเช่นกัน
          "ตั้งสติให้มั่น นึกถึงคุณพระเข้าไว้ แล้ววิ่งชนมันออกไป จำไว้ อย่าหันกลับมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำบอกของลุงทำให้คิดได้ว่าตอนนี้ผมต้องมีสติให้มาก จึงได้แต่พยายามรวบรวมมันเท่าที่จะทำได้ในสถาณการณ์แบบนี้ นึกถึงคุณพระคุณเจ้าต่างๆ ที่ไม่เคยนึกถึง
          "ไป! วิ่งไป!" ทันทีที่ลุงสั่ง กับกำลังทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ผมวิ่งชนร่างสูงใหญ่ขวางหน้านั้น มันกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับเสียงคำรามอื้ออึง ผสมด้วยเสียงแผดร้องแสดงความเจ็บปวดของลุง อดที่จะหันกลับหลังมองไม่ได้...

          "ชัย... ชัย..." เสียงแม่นั่นเองที่ทำให้ผมชะงัก
          "แม!่" ผมเรียกและพยายามไต่บันไดขึ้นไปตามเสียงที่ได้ยิน มันเป็นการวิ่งหรือตะเกียกตะกายที่เหนื่อยมากสุดในชีวิต ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเคลื่อนที่ได้ทีละน้อย ทีละน้อย จนแทบไม่ขยับ ขณะที่เสียงปีศาจยังคงคำรามก้องไล่หลังมา
          "ชัย... ชัย... ตื่นสิลูก" เสียงแม่ยังคงเรียก ผมพยายามสลัดความรู้สึกและสะดุ้งตื่นลืมตา
          "แม่" ผมเรียกออกไปอย่างอ่อนล้า... ท่ามกลางแสงตะเกียงสลัว แม่ยิ้มให้ทั้งน้ำตาบนใบหน้า ผมหลับตาลงอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง
          "ลุงล่ะครับ" ผมลืมตาถามเมื่อเริ่มมีแรง  แม่ยกมือป้ายน้ำตาหันมองไปยังร่างที่มีผ้าห่มคลุมข้างตะเกียง
          "ลุงไปแล้วลูก" ผมกวาดตามองโดยรอบ ยายนั่งจับมือผมอยู่ ป้านั่งร้องไห้อยู่ข้างลุง พี่น้องและเพื่อนบ้านหลายคนต่างมารวมกันอยู่ในห้องนี้

          "เมื่อวานนี้หลังจากแกสองฅนกลับมาแม่ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ จนค่ำหลังเข้านอนแล้วนั่นแหละ แกกับลุงก็เริ่มเพ้อไม่ได้สติ" แม่เล่าให้ผมฟังในตอนเช้าขณะจัดเตรียมพิธีให้ลุง "แกสองฅนเพ้อเหมือนโต้ตอบกันอย่างนั้นแหละ" ผมลูบคลำสายสิญจน์ที่สวมคอพลางนึกถึงสัมผัสที่รู้สึกได้ถึงการที่ลุงพยายามช่วยผม ไม่ว่าจะในความฝันหรืออะไรก็ตามที  ผมคงอดที่จะนึกขอบคุณลุงไม่ได้

          "ช่วงสงครามลุงแกเคยเป็นทหารและอยู่ที่นั่นหลายปี เขาสำเภานั่นแหละ" แม่บอกกับผมหลังเสร็จงานของลุง

          สายฝนพรำลมพัดใบข้าวพลิ้วไหว ผมมองดูอย่างซึมซับกับภาพตรงหน้า กับคำพูดคำบอกเล่าของลุงนั้น คิดว่าผมคงต้องหาเวลาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของบรรพบุรุษให้มากขึ้นแล้ว กัมปุเจีย** ดินแดนนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราว.

*****************************************

*พระตะบอง (Battam bang)
**กัมพูชา (Cambodia)

วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: วรรณะ


          ผมชื่อวันนะ เกิดในจังหวัดบัตด็อมบอง พ.ศ.๒๕๔๙ นี้ผมอายุสิบสามปี หน้าที่ในแต่ละวันของผมนั้นเริ่มต้นแต่เช้าตรู่เสมอ...

          เสียงกระดิ่งเสียงเกราะดังประสานเป็นจังหวะท่ามกลางอากาศหนาวเย็น พระอาทิตย์ยังมองเห็นเป็นวงกลมสีขาวหลังม่านหมอก ผมลุยน้ำค้างต้อนวัวลงทุ่ง วัวทั้งฝูงรู้ดีว่ามันควรจะไปที่ไหน ผมจึงแค่เดินตามมันไป อาจมีต้องคอยระวังพวกที่ชอบแตกแถวในบางครั้งบ้างเท่านั้น
          เมื่อลอยสูงขึ้นตะวันก็เริ่มเปล่งแสง หมอกขาวยังคงเห็นได้จางๆ อากาศยังคงหนาวเย็น ผมเดินร้องเพลงไป ขณะเตร่ดูฝูงวัวเล็มหญ้าแห้งและตอซังข้าวที่ยังคงชุ่มน้ำค้าง รอบกายคือผืนนาราบเรียบ กอไม้ขึ้นเป็นหย่อมตามโคก ตาลยืนต้นเห็นได้ประปราย มันเป็นภาพเดิมๆ ที่แสนจะคุ้นเคย ทั้งชีวิตของผมก็มีอยู่แค่นี้ ท้องฟ้า ทุ่งนา และฝูงวัว... เด็กนักเรียนเดินตามกันเป็นกลุ่มบนถนนซึ่งทอดยาวผ่านผืนนา บ้างปั่นจักรยานตามกันไป นั่นคือภาพซึ่งผมจะเห็นได้เป็นประจำเช่นกัน
          "โปรส์ ฝากดูวัวให้ด้วยนะ" เสียงนั้นทำให้ผมต้องละสายตาจากแนวถนนเบื้องหน้า ความที่เป็นลูกชายคนเดียวของบ้านนั่นแหละทำให้แม่เรียกผมว่าโปรส์* และหลายคนต่างเรียกตามจนมันกลายเป็นอีกชื่อหนึ่งของผมไปแล้ว... ผมหันมองเจ้าของเสียง ชื่อโปว นั้นบ่งบอกถึงการเป็นลูกฅนสุดท้องของเธอ และชื่อนี้บางครั้งก็จะเป็นชื่อของผมได้เหมือนกัน เพราะผมก็เป็นลูกฅนสุดท้องเช่นกันกับเธอ
          "นะข้าจะไปหาฟืนก่อน"
          "กินกล้วยจิ้มพริกเกลือก่อนไหมล่ะ ข้าห่อมาด้วยนะ" ผมเอ่ยชวนเพราะรู้ว่าเธอต้องไม่ได้กินข้าวเช้ามาแน่นอน เป็นเรื่องปกติของบ้านเธอนั่นแหละที่จะไม่กินข้าวเช้ากัน โปวยิ้มพยักหน้ากับคำชวนของผม
          ใต้ร่มคูนใหญ่ดอกเหลืองเต็มต้นเคียงต้นตาลบนคันนานั้น เธอจิ้มกล้วยดิบกับพริกเกลือ เคี้ยวกินพลางเงยหน้ามองกับรอยยิ้มชวนสงสัย
          "กินไปสิ ยิ้มอะไรล่ะ" ผมร้องบอกด้วยไม่เข้าใจในรอยยิ้มนั้น
          "ร้องเพลงให้ฟังบ้างสิ" จู่ๆ เธอก็พูดออกมาและจ้องหน้าตาแป๋วใส่
          "เฮ้ย! บ้า ข้าร้องไม่เป็น" อดร้องเสียงหลงออกไปไม่ได้ อยู่ๆ จะให้ร้องเพลงนี่นะ
          "เมื่อกี๊ยังได้ยินนี่นา"เธอไม่ยอมลดละ
          "อยู่ฅนเดียวก็ร้องได้สิ ไม่เคยร้องให้ใครฟังนี่" ผมพยายามหาข้อแก้ตัว
          "วันก่อนยังเห็นร้องให้พวกไอ้เมาฟังอยู่เลย" เธอว่าพลางทำท่าเหมือนจะขำที่ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนออกมา
          "ก็นั่นมันพวกไอ้เมานี่"
          "ร้องให้พวกไอ้เมาฟังได้แล้วทำไมร้องให้ข้าฟังไม่ได้ล่ะ" เธอทำงอนก่อนเปลี่ยนท่าที มันทำให้ผมลำบากใจอยู่เหมือนกันนะ "น่า ร้องให้ฟังหน่อย เพลงของเขมระก็ได้ ข้ารู้ว่าเอ็งชอบเขมระ"เธอยังคงพยักเพยิดรบเร้า และผมคงได้แต่ยิ้มแห้งเบี่ยงสายตาหลบการจ้องมอง
          "ก็ได้ แต่เพลงเดียวนะ" ผมบอกเหมือนต่อรองขณะที่เธอเธอยิ้มกว้างออกมา...

          ยิ่งสายอากาศก็ยิ่งเพิ่มความร้อนระอุผิดกับช่วงเช้ามากทีเดียว เมื่อพวกเราเด็กแห่งท้องทุ่งมารวมตัวกัน กิจกรรมสนุกๆ ในระหว่างวันก็เริ่มขึ้น
          "เล่นทอยหลุมกันดีกว่า" ไอ้เมา เด็กที่ชอบทำตัวเป็นหัวโจกเอ่ยชวนหลังจากที่เราเล่นร้องเพลงกันจนเบื่อแล้ว
          "เอ็งไม่มีเหรียญเกม มีแต่แหวนรองหัวน็อต" ผมบอกกับมัน เหรียญเกมก็คือเหรียญที่เราต้องแลกเอาไว้หยอดตู้เล่นเกมกัน มันมีค่าสำหรับพวกเราเลยทีเดียว
          "จะเล่นมั้ยล่ะ" ไอ้เมาถามเสียงดังทั้งทำท่าไม่พอใจกับคำพูดของผมนัก และแม้จะรู้ดีว่าเล่นกันทุกครั้ง มันจะใช้วิธีติดไว้ก่อนแทนที่จะยอมจ่ายเป็นเหรียญเกมเมื่อแพ้เสมอ แต่ผมยังไม่อยากที่จะเล่นอะไรฅนเดียวในตอนนี้เหมือนกัน เพราะพวกเพื่อนๆ ต่างเห็นดีเห็นงามกับคำชวนกันหมดแล้ว

          "เป็นไงล่ะ" ไอ้เมาหัวเราะร่าเมื่อทอยแหวนรองหัวน็อตในมือไปชิดหลุมได้อย่างแม่นยำ แต่มันดีใจได้ไม่นานหรอก...
          "หัวเราะทีหลังดังกว่าโว้ย" ผมคุยทับมันเรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆ เมื่อทอยเหรียญตีแหวนอีแปะของมันกระเด็นออกไป ไอ้เมาดูท่าจะไม่พอใจนักหรอก ซึ่งมันจะหงุดหงิดง่ายแบบนี้เสมอนั่นแหละ...

          ท่ามกลางแสงแดดแห่งท้องทุ่ง เกมของพวกเรายังคงดำเนินต่อไป
          "ข้าใกล้กว่าว่ะ" ไอ้เมาเสียงดังขึ้นอีก เมื่อแหวนอีแปะรองหัวน็อตของมันกับเหรียญของผมอยู่ในระยะก้ำกึ่งยากจะบอกได้ว่าของใครชิดหลุมกว่ากัน
          "เห็นไหมล่ะของข้าใกล้กว่า" มันบอกหลังจากก้มลงวัดหาระยะและหยิบเหรียญขึ้นมา นั่นเป็นวิธีโกงที่เด็กทุกฅนรู้ทันกันอยู่แล้ว
          "วัดโกงนี่ไอ้เมา เอ็งรีบหยิบเหรียญออกทำไมล่ะ" ผมท้วง
          "ไม่ได้โกงโว้ย! ของข้าใกล้กว่า เอ็งจ่ายมาเลย" มันพูดพลางจ้องหน้า พลางเลิกคิ้วทำท่ายียวนใส่
          "ไม่จ่ายว่ะ! เอ็งโกง" ผมตอบกลับมาดยียวนนั้นด้วยการเชิดหน้าท้าทาย
          "เอ็งต้องจ่ายสิวะ" มันข่มขู่ทั้งน้ำเสียงและสายตา คงคิดว่าผมจะกลัวล่ะสิ ความจริงคือเราสองฅนนั้นต่างไม่มีใครกลัวใคร หรือไม่มีใครยอมใครกันหรอก
          "จ้างข้าก็ไม่จ่ายโว้ย ไอ้ขี้โกง" ผมตะคอกมันกลับไป
          "โดนชกสิวะ!" มันพูดพร้อมเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ ผมสวนกลับไปอยู่แล้ว... หลังจากชกซ้ายป่ายขาวกันได้สักพัก เราก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงลงไปนอนกลิ้งกับพื้นกัน
          "เฮ้ย! อะไรวะ" ไอ้เมาร้องขึ้นก่อนผละออกจากผมเพราะโดนฟาดเข้ากลางหลังอย่างจัง เธอยืนตั้งท่าพร้อมกับไม้ในมือขณะที่ไอ้หัวโจกจ้องหน้าตาเขียวใส่
          "กล้าตีข้ารึวะ!" เมาตะคอกใส่ หากเธอยังคงเชิดหน้าท้าทาย
          "อยากลองดีงั้นสิ!" ไอ้เมาพุ่งเข้าหาอย่างไม่กลัวไม้ในมือ ผมไม่ปล่อยให้ถึงตัวเธอหรอก จับเสื้อมันกระชากเหวี่ยงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
          "ไอ้โปรส์เอ็ง!" มันส่งเสียงเหมือนคำรามขณะก้มมองเสื้อที่ขาดและยันกายขึ้น ตอนนี้ไอ้เมาได้แต่ทำหน้าขมึงทึงหันมองเราสองฅนสลับกันไปมา
          "พวกเอ็งจำเอาไว้เลย!" ในที่สุดมันก็ชี้หน้าฝากอาฆาตไว้ก่อนพาพรรคพวกจากไป

          แดดแรงยังคงฉาบทุ่งร้อน บนถนนลูกรังนั้น เด็กเล็กได้เวลาเลิกเรียนกลับบ้าน สวนทางกับเด็กโตที่ได้เวลาเข้าเรียนกันแล้ว
          "เอ็งไม่ต้องคอยช่วยข้าก็ได้" ผมบอกกับเธอโดยที่สายตายังคงทอดมองกลุ่มเด็กบนถนน
          "ทำไมล่ะ เก่งงั้นสิ" เธอทำเสียงเหมือนเยาะอยู่ในที
          "มันเรื่องของผู้ชาย" ผมตอบเบาๆ ออกไป
          "อี้โธ่... ผู้ชาย! แล้วไง ดีแต่ชกกัน" เธอพูดพลางสะบัดหน้าเชิดใส่
          "ช่างเถอะ" ผมพยายามตัดบท กลีบคูนร่วงจากต้นช้าๆ สู่ผืนดิน รอบกายเราคือสีเหลืองจากกลีบและเกสรดอกไม้ที่ปูพรมอยู่บนพื้น
          "เอ็งไม่ไปเรียนแล้วเหรอ" ผมถาม
          "ขี้เกียจ ข้าไม่เรียนแล้ว" เธอตอบแบบไม่ใส่ใจนัก ผมพอเข้าใจความรู้สึกของการเป็นลูกกำพร้าของเธอบ้างเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเธอก็ได้เรียนถึงห้าปี
          "ข้าชอบไปเรียนนะ แต่ข้าได้เรียนปีเดียวเอง" ผมพูดพลางแหงนมองดอกคูนเหลืองสดตัดกับสีฟ้าของฟ้า ปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย เมื่อพ่อกลายเป็นฅนพิการซึ่งต้องนอนอยู่กับที่ ผมก็ต้องออกจากโรงเรียน ยังดีที่มีฅนใจดีจ้างให้เลี้ยงวัว ทำให้พอมีรายได้เพิ่มจากงานรับจ้างรายวันของแม่และพี่สาว ซึ่งนานวันจะมีเข้ามาสักครั้ง และแม้จะเป็นลูกฅนสุดทัองเช่นกันกับเธอ แต่การเป็นลูกชายฅนเดียวของบ้านก็ทำให้ผมต้องกลายเป็นเรี่ยวแรงหลักของครอบครัวแทนพ่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
          "เอ็งอยากไปโรงเรียนเหมือนเด็กพวกนั้นเหรอ" เธอพูดพลางพยักหน้าไปยังกลุ่มเด็กบนถนน
          "อือ" ผมรับคำสั้นๆ
          ดอกคูนโยกไหวตามสายลมร้อนที่พัดมาในบางครั้ง เธอส่งยิ้มประกายตาสดใสเมื่อผมหันมอง

          พวกไอ้เมาเฮฮาอยู่กับแอ่งน้ำขุ่นแดงข้างทาง ขณะที่เราสองฅนอยู่ใต้ร่มคูณ
          "ซอ เจิ้ง ลอ เอะ กอ เสลิก" เธอชี้นิ้วบนหน้าหนังสือพลางสะกดคำให้ผมอ่านตาม เพราะได้เรียนมากกว่าเธอจึงหาหนังสือเรียนเก่าๆ มาหัดให้ผมอ่านเขียนได้ ผมท่องตัวสะกดตามก่อนเงยหน้ามอง
          "เอ็งไม่มีงานอะไรรึ" ผมถาม
          "มี แต่ไม่รีบหรอก" เธอตอบเรียบๆ พลางชี้ไปที่หน้าหนังสือต่อ...
          "อีโปว มามุดหัวเล่นอยู่นี่เอง" นิ้วที่ชี้ตัวอักษรชะงักค้าง เธอค่อยๆ เหลือบมองเจ้าของเสียงนั้น ลูกสาวของป้าเธอที่ชอบทำเสียงดังและข่มขู่เธอได้เสมอ เมื่อพ่อและแม่จากไป โปวก็ต้องอยู่กับครอบครัวของป้า ผมรู้ดีว่าเธอต้องรับภาระงานแทบทุกอย่างในบ้านนั้นทีเดียว
          "หนูดูวัวอยู่จ้ะ" โปวตอบเสียงอ่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกดุอยู่ดี
          "ดูวัวประสาอะไร วัวอยู่โน่น เอ็งอยู่นี่ เอาวัวไปผูกไว้เลยไป ที่บ้านยังมีงานอยู่นะ" เธอได้แต่ยิ้มแห้งให้ผมขณะที่พี่สาวสะบัดหน้าจากไป
          "ข้าไปก่อนนะ" เธอบอกก่อนรีบออกไป
          "เดี๋ยว หนังสือเอ็งล่ะ" ผมถามพลางลุกขึ้นวิ่งตาม
          "เอ็งเก็บไว้ก่อน ค่อยเอามาคืนทีหลังก็ได้" โปวหันกลับมาบอก "แล้วเอ็งจะไปไหน" เธอถามเมื่อผมยังคงตามไป
          "ไปช่วยเอ็งผูกวัวไง" ผมตอบ โปวพยักหน้ารับ

          พวกไอ้เมายังคงเล่นสนุกเสียงดังกันขณะผมเดินผ่าน หลังจากสลวันนั้นก็ไม่มีใครสนใจผมนัก ผมเองก็ไม่อยากที่จะสนใจใครเช่นกัน... ช่อดอกคูณร่วงโรยนั้นยังพอได้เห็นสีเหลืองติดกิ่งอยู่บ้าง เสียงเพื่อนๆ หยอกล้อวังดังแว่วมาขณะที่ผมเปิดหนังสือพลิกดูที่ละหน้าอยู่ฅนเดียว เราไม่ได้เจอกันมาหลายวันแล้วผมจึงยังไม่ได้คืนหนังสือให้เธอเลย...

          บนถนนลูกรัง ผมเดินปะปนไปกับเด็กนักเรียนเหล่านั้น ผ่านหน้าโรงเรียนและเลยเข้าไปในหมู่บ้าน ถึงบ้านของเธอ หากกลับลังเลที่จะเข้าไป หนังสือถูกม้วนกำไว้ด้วยสองมือขณะชะเง้อมองหา และกำลังตัดสินใจ...
          "ไอ้โปรส์วัวเอ็งไปกินข้าวตาเลือย แกให้ตามหาเอ็งอยู่นี่" เฮง เด็กในหมู่บ้านฅนหนึ่งตะโกนบอกขณะปั่นจักรยานมาแต่ไกล...

         เย็นนี้ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาเมื่อฝนหลงฤดูทำท่าจะตก
          "เอ็งไปตามตาเปียนมาจ่ายเงินข้าเลย ข้าถึงจะยอมปล่อยวัวสองตัวนี่ไป" เสียงของตาเลือย และท่าทางน่ากลัวของแกยังติดอยู่ในหัว มันเป็นความผิดของผมเองที่ทิ้งวัวออกไปแบบนั้น ผมคงได้แต่โทษตัวเอง
          "อีโปวรึ พี่สาวมันมารับไปอยู่ด้วยหลายวันแล้ว เอ็งไม่รู้หรือไง" คำพูดของไอ้เฮงที่บอกกับผมตอนขากลับจากนาตาเลือย ก็ยังก้องอยู่ในหัวเช่นกัน ยังไม่รู้เลยว่าตาเปียนเจ้าของวัวจะว่าอย่างไร หากรู้เรื่องที่ผมปล่อยวัวกินข้าวชาวบ้านจนต้องเสียเงิน อดคิดถึงเธออีกไม่ได้ ใจหายเหมือนกันกับการจากที่ไม่ทันล่ำลา ได้แต่คิดว่าบางทีเธออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมก็ได้ ผมต้อนวัวกลับบ้านทั้งความคิดสับสน วัวสองตัวไอ้ดื้อกับไอ้ขโมยก็ยังถูกจับไว้เป็นตัวประกันอยู่เลย...

          ข้ามคลองเล็กๆ ตรงหน้านี้ไปก็จะถึงบ้านแล้ว ฟ้าลั่นครืนเสียงดังทำเอาตกใจ วัวก็เช่นกัน บางตัวตื่นข้ามคลองไปแล้ว หากบางตัวยังคงทำท่าไม่อยากจะลงน้ำ ผมพยายามไล่อีอืดอาดให้ทันเพื่อน ไอ้เปรียวที่ข้ามคลองไปก่อนนั้นดันออกนอกเส้นทางเสียอีก และหากมันเดินไปเรื่อยๆ ก็จะถึงแปลงผักชาวบ้านนั้นแน่นอน ซึ่งผมจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสองขึ้นมาอีกไม่ได้

          ผมโดดไปข้างหน้าหวังให้ทันไอ้เปรียวก่อนที่มันจะถึงแปลงผัก กลับรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนต้องทิ้งตัวล้มลง ผมขาแพลง เป็นเพราะความรีบร้อนทีเดียว ได้แต่บีบเท้าและพยายามยันกายยืนขึ้น แม้จะเจ็บแค่ไหนแต่คงช้าไม่ได้ ไอ้เปรียวใกล้แปลงผักเข้าไปทุกทีแล้ว หากผมยังข้ามคลองไม่ได้เลย ซ้ำร้ายกว่านั้น อีอืดอาดที่ไม่ยอมไปตามเส้นทางเดิมก็พาตัวเองไปติดหล่มเลน วัวตัวอื่นๆ ก็ดูจะไปกันฅนละทาง ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี ฝืนเขย่งเท้าไปได้หน่อยก็เจ็บจนต้องทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง ทั้งที่ผมต้องรีบ แต่กลับเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ได้แต่นั่งดูความผิดพลาด ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา โดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย คงได้แต่ก้มหน้าทุบกำปั้นกับผืนดิน ตะโกนร้องไห้ขับความอัดอั้นที่มี ขณะที่สายฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมา...

          เสียงไล่วัวเอ็ดอึงทำให้ต้องเงยหน้ามอง ไอ้เปรียวถูกต้อนออกมาแล้ว วัวตัวอื่นๆ ก็ถูกไล่ให้มารวมฝูงแล้วเช่นกัน พวกไอ้เมานั่นเอง...
          "ร้องไห้เลยนะเอ็ง" มันมองหน้าพลางหัวเราเยาะใส่ ผมก็หัวเราะออกมาได้เช่นกัน หากเสียงร้องดังจากหล่มเลนนั้นบอกว่างานของเรายังไม่จบ ท่ามกลางสายฝนนั้น อีอืดยังคงพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้น พวกเรา ช่วยกันฉุดดึงมันขึ้นมา บางฅนลุยเลนลงไปช่วยกันผลักช่วยกันดัน แต่ก็ทำได้อย่างทุลักทุเลเต็มที ในขณะที่อีอืดอาดก็ดูอ่อนแรงลงเรื่อยๆ กว่าที่ตาเปียนกับชาวบ้านจะช่วยกันพาวัวเคราะห์ร้ายขึ้นมาได้ก็ดูจะช้าไป มันปล่อยขาเหยียดตรงเขาทิ่มดินก่อนนิ่งสนิทในที่สุด...

          ท้องฟ้ายังคงสดใสเหนือผืนนา เสียงเพลงของพวกเรายังคงดังอยู่เช่นทุกวัน ทุกฅนต่างปรบมือเมื่อเพลงจบลง
          "เอ็งจะไปจริงๆ รึวะ" เพื่อนๆ ต่างหันมองหน้าผมเมื่อเมาเอ่ยถาม
          "เออ ลุงข้าอยู่เมืองไทย ข้าจะไปทำงานกับลุงข้า อีกอย่างที่นี่ตาเปียนแกบอกขายวัวไปแล้วด้วย" ผมตอบมันไป ลมร้อนยังคงพัดผ่านทุ่งแล้ง ตาลยังคงยืนต้นเหนือผืนนา ผมกวาดตามองรอบกาย บอกไม่ถูกเหมือนกัน กับความรู้สึกที่มีต่อภาพเดิมๆ ซึ่งเห็นจนชาชินในวันต้องจาก
          "ถ้างั้นเพลงต่อไป เอ็งต้องร้องให้พวกข้าฟังเป็นการสั่งลาแล้ว" เมาบอกเสียงดังก่อนประกาศก้อง "อันดับต่อไป ขอเชิญทุกท่านพบกับ เขมระ!" พวกเราส่งเสียงเฮปรบมือกันเกรียวกราว...

          ท่ามกลางฟ้าใส แดดแรง และผืนนาแล้ง เสียงเพลงของเด็กเลี้ยงวัว ยังคงดังลั่นทุ่ง.

*****************************************

*โปรส์ (ប្រុស) อ่านว่า โประ แปลว่า ผู้ชาย

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: บุปผา


          ดอกตะแบกบานรับแดดแรง ฝูงวัวเล็มหญ้ากลางทุ่งร้อน กลุ่มเด็กผู้ชายยังคงส่งเสียงดังจากกอไม้ตามโคก ฉันเหลือบดูพวกเขา ก่อนหันกลับมาสนใจช่อดอกไม้ซึ่งกำลังส่ายไหวลู่ลมนั้น...
          ฉันชื่อ ปบพา อายุสิบสามขวบ ใครต่อใครมักเรียกฉันว่า โปว ด้วยความที่เป็นลูกฅนสุดท้อง นั่นหมายถึงความรักความเอาใจใส่ที่ฉันจะได้รับเป็นพิเศษกว่าใครด้วย


          วันนั้นฟ้าใส ดอกตะแบกเบ่งบานอวดสีสัน ม่วงเข้ม ม่วงอ่อน บ้างจางจนชมพูถึงขาวแซมอยู่ในช่อเดียวกัน เด็กน้อยเฝ้ามองอย่างชื่นชมขณะที่แม่และพี่สาวกำลังง่วนอยู่โคนต้น เสียงเลื่อยกัดกินเนื้อไม้ตามจังหวะการดึงของทั้งสอง เมื่อโดนคมบั่นจนสุดทนไม้ก็ล้มฟาดดินจนสะท้าน กิ่งหักดอกใบหล่นร่วงกระจาย
          "เอาดอกไม้ เอาดอกไม้" เด็กน้อยร้องบอกพลางชูมือไขว่คว้าอากาศเบื้องหน้า... รอยยิ้มปริ่มสองแก้มขณะรับช่อตะแบกที่พี่สาวยื่นให้ โลกของเธอสดใสเสมอ...

          ภายใต้เพิงพักพักกลางป่าซึ่งสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ เสาไม้เอนโอนหลังคามุงหญ้า เด็กน้อยนั่งอิงกระสอบถ่านกอดช่อดอกไม้แนบอก รอยยิ้มยังเปื้อนปนใบหน้ามอมแมมนั้น... ควันขาวลอยเป็นสายจากปล่องข้างกองดินพาดผ่านฟ้าใส แม่และพี่สาวยังคงตัดทอนไม้ไว้สำหรับการเผาถ่านหลุมต่อไป... ท่ามกลางสายลมและเสียงนกกาในป่ากว้าง หนูน้อยอ้าปากหาว สองตาเริ่มหรี่ปรือและหลับไปในท่านั้น โลกแห่งความฝันของเธอสดใสเช่นกัน

          แม้จะไม่ทันเย็นย่ำสักเท่าไรแต่กลางป่านั้นมืดไวเสมอ เสียงเซ็งแซ่ของเหล่าแมลงช่วยสร้างบรรยากาศวังเวงครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณ เด็กน้อยถูกจับนั่งบนกระสอบถ่านในรถเข็นเพื่อพากลับบ้าน สายลมยังคงโชยพัด ดอกตะแบกที่เริ่มแห้งเหี่ยวยังวางอยู่บนตัก ขณะแม่และพี่สาวเข็นรถโยกคลอนไปตามทาง ตะวันลาลับยอดไม้ ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน

          ผู้ฅนขวักไขว่ภายใต้เสื้อผ้าสีสดใสท่ามกลางเสียงจอแจ สินค้าแปลกๆ สวยงามจากร้านค้าสองข้างทางนั้นสร้างความตื่นตาให้เด็กน้อยได้เสมอ ทุกครั้งที่แม่ต้องการขายถ่านเธอก็จะได้มาที่นี่ ตลาดพรมแดนฝั่งไทย ดินแดนแห่งความสุขของวัยเยาว์ นอกจากขนมอร่อยๆ แล้ว วันนี้แม่ยังซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่สีสดรวมถึงหมวกสวยเข้าชุดให้เธอด้วย เป็นชุดที่สวยงามไม่ต่างจากของเด็กฅนที่วันก่อนเธอได้แต่อิจฉา...  ได้ชุดสวยอวดเพื่อนแล้ว เด็กน้อยเดินยิ้มกอดถุงผ้า ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับร้านค้าตรงหัวมุมถนน มันถูกวางไว้อย่างเด่นชัดอวดสีสันสวยงาม
          "เอาดอกไม้ เอาดอกไม้" เด็กน้อยร้องพลางเอื้อมมือไขว่คว้า  ต้นไม้ในกระถางสวยงามต้นนั้นถูกตกแต่งจนเหมือนจริง ด้วยลำต้นที่ทำจากเถาวัลย์ติดใบและดอกไม้พลาสติกเข้าไป มันสวยกว่าดอกตะแบกแห้งเหี่ยวที่เลิกสนใจไปแล้วมากทีเดียว แม้แม่จะพยายามบ่ายเบี่ยง ทั้งพี่สาวจะพยายามหว่านล้อมให้เธอเลิกสนใจ แต่เด็กน้อยรู้ว่าหากไม่หยุดรบเร้าและไม่หยุดร้องไห้ เธอก็จะได้มันมาในที่สุด มันเป็นเช่นนั้นเสียทุกครั้งไป...

          แม่บอกให้รอถึงวันสงกรานต์เมื่อเด็กน้อยร้องขอใส่ชุดสวย หากเธอยังคงเฝ้ารบเร้า เพราะรู้ว่าหากหมั่นทำเช่นนั้นก็จะได้สิ่งที่ต้องการ ในที่สุดเด็กน้อยก็ได้ใส่ชุดใหม่อวดเพื่อนก่อนสงกรานต์จะมาถึงสมใจ วันนั้นเธอยิ้มชื่นสนุกได้ทั้งวันเพราะมีแต่ฅนคอยเอาใจ หากสับสนบ้างในบางคราวที่พี่สาวดูจะขี้แย เด็กน้อยรู้ว่าทั้งแม่และพี่สาวนั้นเข้มแข็งเสมอ เธอเคยเห็นแม่ไอออกมาเป็นเลือด แต่แม่ยังหันมาส่งยิ้มทักทายให้เธอยิ้มตอบได้ทุกครั้ง กระทั่งสองพี่น้องต้องมาอยู่ในความดูแลของป้า เธอจึงได้รู้ว่าแม่จากเธอไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรพี่สาวนั้นยังคงปกป้องเธอเสมอ

          "หนูไปอยู่กับพี่ไม่ได้เหรอ" เธอถามทั้งสะอื้นขณะที่พี่สาวได้แต่ส่ายหน้า
          "พี่เอ็งน่ะเขามีผัวแล้วก็ต้องไปอยู่กับผัวเขาสิ เอ็งก็อยู่กับป้านี่แหละ" คำตอบนั้นไม่ต่างจากคำสั่งให้หยุด เธอจึงได้แต่กลั้นสะอื้นไว้เท่านั้น

          เมื่อสองวันก่อนเธอยังสนุกอยู่เลยกับงานเฉลิมฉลอง งานที่พี่ของเธอได้ใส่ชุดเจ้าสาวสวยงาม
          "เอ็งต้องแต่งงาน พรุ่งนี้จะมีคนมาขอ" ป้าบอกกับพี่สาวของเธอเมื่อหลายวันก่อน หลังจากนั้นงานแต่งก็ถูกจัดขึ้น ทุกฅนแต่งตัวสวยงามและสนุกกับการเล่นร้องเล่นรำกัน แต่พี่สาวกลับทำให้เธอสับสนอีกครั้งเมื่อได้สบตา พาให้คิดถึงวันที่แม่จากลาเสียไม่ได้... หลังจากวันนั้นพี่สาวก็ไม่มีโอกาสได้ดูแลเธออีกเลยเมื่อสองฅนต้องแยกจากกัน...

          ดอกตะแบกยังคงพลิ้วไหวตามสายลมพัดผ่าน บ้างปล่อยกลีบบางร่วงหล่นดิน ฝูงวัวยังคงเล็มหญ้ากลางทุ่งร้อน เสียงเพลงจากเด็กเลี้ยงวัวยังคงแว่วดัง ฉันหันมองก่อนรวบรวมกิ่งไม้แห้งที่หามาเข้าด้วยกัน อดเหลือบมองพวกเขาไม่ได้ขณะแบกฟืนผ่าน นึกอิจฉาไปด้วยที่พวกนั้นยังมีเวลาเฮฮา... เด็กนักเรียนเดินตามกันเป็นกลุ่มบนถนนที่ทอดยาวผ่านผืนนา วันนี้ฉันคงได้แต่มองและแอบอิจฉาเช่นกัน และคงทำได้แค่นั้น วันนี้ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องทุกสิ่งตามต้องการด้วยการด้วยน้ำตา สายเกินกว่าจะร้องไห้ได้อีกแล้ว.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง

ชีวิตเปื้อนสุข: ดวงจันทร์


          ดูจะไม่ใช่ท่าทีที่สบายสักเท่าไรนักหรอก กับการต้องหมอบคุกเข่าพนมมือศอกแนบพื้นตลอดเวลาอยู่อย่างนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็คงยินดีจะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แม้การไร้ซึ่งความมั่นใจจะยังผลให้ความตื่นเต้นประหม่าแผ่ซ่านทั่วร่างจนรู้สึกได้ก็ตาม ยิ่งเมื่อมองดูสองมือที่พนมชิดใบหน้ายามนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นผสานรวมหลายความรู้สึกเข้าห่อหุ้มจิตตนเป็นยิ่งนัก ได้แต่แอบทอดถอนใจให้กับฝ่ามือและแขนขวาซึ่งลีบเล็กอย่างเห็นได้ชัดของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อมันถูกนำมาเทียบกับแขนซ้ายแบบนี้

          "ทำไร" กว่าจะรู้ตัวว่าโง่มาก ผมก็หลุดคำถามนั้นออกไปแล้ว ช่างเป็นคำถามที่ดูเฉิ่มเชยสิ้นดี กับการถามแม่ค้าที่นั่งขายของอยู่ว่าทำอะไร
          "เปล่า..." ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ต่างจากรอยยิ้มก่อนตอบของเธอ นั่นทำให้ผมยิ่งเก้อเขิน ดวงจันทร์ของผม เธอยังคงเหมือนสายน้ำลึกท่ามกลางความมืดมน ผมไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจนั้นได้เลย จึงทำได้เพียงแต่ยิ้มแห้งออกมาเท่านั้น และจนป่านนี้แล้วผมยังอดที่จะประหม่ากับการเริ่มต้นพูดคุยกับเธอเสียไม่ได้
          จะเรียกว่าผมรู้จักเธอมานานแล้วก็น่าจะใช่ หากแต่ผ่านการแอบมองยามเธอปั่นจักรยานไปตลาดเพื่อหาซื้อของมาขายต่อเสียมากกว่า เธอชื่อจันธู หญิงฅนที่ผมได้แต่แอบมองจากเปลญวนผ่านใต้ถุนบ้าน พร้อมกับลูบแขนข้างที่ลีบเล็กของตัวเองไปด้วย สงครามสร้างให้ผมเป็นชายพิการ ต้องพลัดพรากจากครอบครัวอย่างโหดร้ายตั้งแต่เด็ก เมื่อสงครามสิ้นสุดผมก็ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากชีวิตไม่สมประกอบนี่เท่านั้น โชคดีมีคนใจบุญรับเป็นลูกบุญธรรมและให้ที่อยู่เลี้ยงดู แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ได้ชื่อว่าเด็กพิการกำพร้าอยู่ดี และแม้ว่าตอนนี้ผมจะอายุสามสิบกว่าแล้วก็ตาม หากความไม่มั่นใจนั้นคงไม่เลือกวัยเช่นกัน

          หลังยิ้มแห้งอยู่สักพักผมก็หย่อนตัวลงบนม้านั่งหน้าร้าน แน่นอนว่าท่าท่างนั้นมันดูเก้งก้างเงอะงะแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกได้ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่มักจะวางตัวไม่ถูกในทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้เธอ แม้แต่ตอนนี้ก็เถอะ ด้วยความรู้สึกว่าเรานั้นช่างต่างกันมากมาย เธอคือแม่ค้าสาวสวย ร้านค้าเล็กๆ  ของเธอมักไม่ขาดชายหนุ่มมานั่งจับจองพูดคุย แต่ละคนล้วนเหนือกว่าผมมากมาย ลูกกำนัน ตำรวจ ทหารก็มี ผมซึ่งเป็นเพียงชายพิการฅนหนึ่งจึงแทบไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเลยจริงๆ

          ตอนเพลวันนั้นกับการนั่งรับประทานอาหารมื้อแรกในระหว่างวันของเรา มันเป็นมื้อแรกเพราะสงครามสอนให้เรารับประทานอาหารกันวันละสองมื้อ
          "เอ็งนี่อายุเยอะแล้วนะ อยากมีเมียไหม แม่จะไปขอให้" จู่ๆ แม่บุญธรรมก็ทำให้ผมตกใจกับคำถามที่เอ่ยขึ้นอย่างฉับพลันนั้น "ขายข้าวโพดได้ก็มีเงินขอเมียแล้ว น่าจะเหลือเป็นแสนแหละนะ" แม่บุญธรรมพูดถึงข้าวโพดที่ให้ผมปลูกในที่ดินของแก แต่เงินแสนสองแสนเรียล มันไม่น้อยเกินไปสำหรับการจะขอใครสักฅนมาแต่งงานด้วยหรือ โดยเฉพาะฅนพิการอย่างผมนี่
          "ใครจะเอาผม" ผมตอบออกไปตามความรู้สึกที่มี
          "เอาเถอะน่าเดี๋ยวแม่จัดการให้" แม่บุญธรรมพูดและกินข้าวไปโดยไม่หันมองด้วยซ้ำ "ฅนดีและขยันแบบเอ็งใครก็เอาทั้งนั้นแหละ"
          "แม่เขาจะไปขอจันธูให้พี่" น้องสาวของผมซึ่งเป็นลูกสาวของแม่บุญธรรมพูดเสริมขึ้นมา แทบสำลักข้าว ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินและได้แต่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่นอน ในขณะที่ฅนอื่นๆ ก็ได้แต่ยิ้มจนผมต้องหลบสายตาพวกเขา

          "พี่ไม่ต้องห่วงหรอก แม่แกรู้ดี" เป็นคำพูดของน้องสาวเมื่อผมถามเกี่ยวกับเรื่องที่แม่พูดในวงข้าววันนั้น ซึ่งผมคิดว่าแกคงพูดแค่ให้ผมสบายใจเสียมากกว่า แม้ผมจะเคยพบจันธูนอกจากแอบมองผ่านใต้ถุนบ้านบ้าง แต่เท่าที่จำได้คือเราแทบไม่ได้คุยกันเลย ผมจะแน่ใจได้อย่าไรว่าเธอจะคิดอย่างไรกับผม...

          หลังจากนั่งหมอบคุกเข่าพนมมืออย่างเนิ่นนาน ในที่สุดผู้ใหญ่ของผมกับแม่ของเธอก็ตกลงกันได้ ทั้งเรื่องค่าสินสอดและกำหนดวันแต่งงานระหว่างเราสองฅนเสร็จสรรพ โดยที่ผมไม่ได้เห็นหน้าหรือยินเสียงของเธอเลยด้วยซ้ำในวันนั้น...

          จันธูยังคงก้มหน้าขณะที่ผมยังวางตัวไม่ถูก มันน่าขัน แม้เราจะกลายเป็นคู่หมั้นกันแล้วก็เถอะ แต่เธอกลับทำให้ผมยิ่งประหม่าได้ทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้
          "จันธู" ผมรวบรวมความกล้าในการเรียกชื่อออกไป เธอเงยหน้ามอง รอยยิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปากยังคงเป็นสิ่งที่ผมไม่อาจแปลความรู้สึกนั้นได้ "ไปดูคาราโอเกะกันไหมคืนนี้" คาราโอเกะที่ผมพูดถึงก็คือบ้านฅนรวยที่มีเครื่องปั่นไฟ มีทีวี และมีเครื่องเล่นวีดีโอซีดี พวกนั้นจะเปิดซีดีเล่นคาราโอเกะเพื่อเก็บเงินจากฅนที่ไปร้องเพลง นอกจากลานรำวงแล้ว ก็มีคาราโอเกะนี่แหละทีเป็นสถานบันเทิงของเราในยุคหลังสงครามแบบนี้ หากเธอกลับส่ายหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ...
          เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปตามทางของมันอย่างเงียบงัน
          "จันธู" ผมเรียกชื่อเธออีกครั้งกับน้ำเสียงที่พยายามควบคุมความรู้สึก ตัดสินใจพูดในสิ่งที่อยากพูดออกไป "เธอคิดอย่างไรกับเรื่องของเรา หากเธอไม่เต็มใจ..." ผมคงได้แต่ค้างอยู่แค่นั้น ไม่กล้าแม้จะมองหน้าขณะที่ถามออกไป เธอเงียบ เงียบจนผมรู้สึกอึดอัด เนิ่นนาน... จันธูจ้องมองอยู่แล้วเมื่อผมหันไป
          "ทำไมคิดแบบนั้น" ผมไม่รู้จะตอบคำถามของเธอได้อย่างไร คงได้แต่จ้องหน้าแล้วยิ้ม ยิ้มให้กับแววตาระคนขันที่มองจ้องมา.

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: ฤทธิ์

 
          พ.ศ. ๒๕๓๐ ตะวันเพิ่งโผล่เหนือผืนนาได้ไม่นาน ไอหมอกรอบกายยังคงเห็นได้จางๆ อากาศกำลังเหมาะ ไอ้เซงยิ้มกริ่มขณะหันมาพยักเพยิดใส่ข้า ฝูงวัวของพวกมันเริ่มใก้ลเข้ามา ข้ากระตุกยิ้มมุมปาก พยักหน้าตอบมันอย่างรู้กัน ตอนนี้พวกเราก็แค่รออย่างใจเย็นกันเท่านั้น... กระทั่งพวกมันต้อนวัวเข้ามาจนได้ระยะ เห็นได้ว่ามันมากันห้าหกฅน เป็นจำนวนที่พอกันกับพวกข้า เหมาะทีเดียวกับสงคราม ไอ้เด็กตัวดำที่ดูจะโตและล่ำกว่าเพื่อนนั่นเราน่าจะรุ่นเดียวกัน มันชื่อเซือม เป็นหัวโจกในกลุ่มนั้น ไอ้ตัวเล็กที่ยืนถอดเสื้ออยู่ข้างมันนั่นข้าพอรู้ว่ามันชื่อฮน ตอนนี้พวกมันต่างหยุดยืน และดูท่าจะพร้อมแล้วเช่นกัน
          ข้าขยับหมวกให้เข้าที่ก่อนยกมือทักทาย ทันทีที่มันพยักหน้า หนังสติ๊กในมือก็ถูกเหนี่ยวและปล่อยลูกกระสุนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ข้าเหยียดยิ้มมุมปากอย่างสะใจเมื่อได้ยินเสียงร้องขณะพุ่งตัวหมอบกับคันนา ไอ้เซงและคนอื่นๆ ล้วนไม่รอช้า ต่างประจำที่และพร้อมใจเหนี่ยวหนังสติ๊กเข้าใส่พวกมันที่ยิงสวนกลับมาเช่นกัน สงครามหนังสติ๊กของเด็กอย่างพวกเรา ได้เริ่มขึ้นแล้ว...

          จรวดอาร์พีจีพุ่งจากเครื่องยิงพาหัวระเบิดไปทำงานกลางขบวนเดินเท้าของพวกมันอย่างแม่นยำ เป็นการสร้างความฮึกเหิมให้พวกเรา ขณะที่อีกฝ่ายต่างพากันอกสั่นขวัญหาย พวกข้าทำได้ดีทีเดียวสำหรับการเปิดฉากโจมตี ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไป เราฉวยโอกาสตอนพวกนั้นกำลังแตกตื่น กระหน่ำอาวุธเข้าใส่ไม่ยั้ง เสียงปืนปะทุลั่นป่า คมกระสุนของพวกข้าพุ่งข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง มันก็สู้กันยิบตาแม้จะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ข้าเหยียดยิ้มมุมปากขณะสาดลูกปืนให้ได้ลิ้มรสกันอย่างสะใจ

          ข้าชื่อเหริ่ด ถือกำเนิดในหมู่บ้านเล็กๆ ของจังหวัดเซียมเรียบ* ข้านั้นเติบโตท่ามกลางสงครามเฉกเช่นเด็กอื่นทั่วไป ทั้งแผ่นดินขแมร์ยามนี้การสู้รบเกิดขึ้นได้ทุกหนแห่ง ปืน! เป็นสิ่งที่ข้าได้สัมผัสกับมันมาตั้งแต่จำความได้ ข้าเห็นมันมีอยู่ทุกที่ แม้แต่ในห้องนอน เมื่อข้าโตพอจะหิ้วไปไหนมาไหนได้ มันก็อยู่ข้างกายข้ามาตลอด
          การทำนายังคงเป็นอาชีพหลักของพวกเราแม้ในยามสงครามเยี่ยงนี้ ครอบครัวของข้านั้นที่จริงก็ถือว่ามีฐานะหากเทียบกับชาวบ้านอื่นในละแวกเดียวกัน และข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบากอะไรมากนักในสภาพแบบนี้ นั่นเพราะข้าอาจคุ้นเคยอยู่กับมันจนชาชิน รวมถึงเสียงปืนเสียงระเบิด และการสู้รบซึ่งเกิดขึ้นใกล้หรือในหมู่บ้านของเราเป็นบางครั้งนั่นด้วย ข้าเห็นการสู้รบของพวกทหารมาตั้งแต่เด็ก และยังจำความรู้สึกของการอยากมีส่วนร่วมนั้นได้ดี มันน่าสนุก ใช่! มันน่าสนุกกว่าสงครามหนังสติ๊กของพวกข้ามากมายนัก
          จะว่าไปข้านั้นไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าใครจะรบกับใคร ทั้งไม่เคยคิดด้วยว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด ก็เหมือนที่ข้าใช้หนังสติ๊กไล่ยิงกันนั่นแหละ ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด และไม่เคยได้มีความโกรธแค้นอะไรต่อกัน ข้ารู้แต่ว่าเด็กพวกนั้นอยู่ฅนละหมู่บ้านกับข้า เมื่อเราโคจรมาเจอกัน แล้วอยากยิงกัน ก็เท่านั้น
          เช่นกันกับฅนอื่นๆ ในหมู่บ้าน พวกเขาก็ไม่เคยสนใจพวกที่รบกันไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน เพราะจะว่าไป ฝ่ายไหนก็ล้วนแต่เลือดเนื้อเชื้อขแมร์ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ว่าพวกไหนใครถือปืนเข้ามาเราต้อนรับหมด บางพวกอาจต้องการแค่เสบียง ก็เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่จะจัดการให้พวกเราหามาสนองต่อพวกเขา บางพวกต้องการกำลังพล พวกเขาก็จะมาคัดเลือกเอาฅนหนุ่มในหมู่บ้านของเราไป แน่นอนบางฅนก็เต็มใจ บางคนก็ไม่พร้อม ทั้งพวกที่กลัวตายและไม่ต้องการสู้รบก็มาก แต่หากเลี่ยงไม่ได้ทุกฅนก็ต้องเข้าร่วมกองทัพของพวกเขา เพื่อต่อสู้กับขแมร์อีกฝ่าย... ข้านั้นให้ขัดใจนักกับพวกที่กลัวตาย และให้เสียดายทุกครั้งที่มีการเกณฑ์คนในหมู่บ้านไปเป็นทหาร ด้วยเหตุที่ตอนนั้นข้ายังอายุน้อยและตัวเล็กเกินไป

          เราส่งเสียงโห่ฮาเมื่อขับไล่เด็กพวกนั้นออกไปได้แล้ว แต่วัวของพวกมันยังคงอยู่ที่นี่ พวกข้าจึงแค่ซุ่มรอพวกนั้นจากพุ่มไม้ตามโคกนี่เท่านั้น
          ท่ามกลางไอแดดร้อนระอุเหนือผืนนา พวกมันเริ่มปรากฎตัวออกมาด้วยชะล่าใจว่าไม่มีใคร และพากันเข้าสู่วงล้อมในทีสุด
          "ยิงมัน!" เมื่อสิ้นคำสั่งข้าเราก็โจมตีพวกมันจากทุกด้านในทันที พวกมันแตกตื่นเกินกว่าจะทันตั้งรับ จึงได้รู้รสชาติกระสุนดินเหนียวกันอีกฅนละหลายลูก ก่อนจะหนีฝ่าวงล้อมออกไปได้ ช่างสะใจยิ่งนัก...

          ข้าเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกไปกับเลือดในกายที่ฉีดพล่าน เสียงปืนเสียงระเบิดนั้นช่วยปลุกเร้าประสาทรับรู้ตื่นตัวถึงขีดสุด สำหรับข้าแล้ว ความตายเป็นสิ่งซึ่งไม่เคยนึกถึง ข้าโผจากไม้ต้นหนึ่ง ไปยังอีกต้น และอีกต้น รุกคืบเข้าไปพร้อมสาดกระสุนเข้าใส่พวกมัน แบบไม่ปล่อยให้มีโอกาสแม้แต่จะหันหลังกลับ พวกมันสู้แบบหมาจนตรอกแล้วในเวลานี้ และการจัดการกับหมาจนตรอกนั้นช่างน่ารื่นรมย์เสียยิ่งนัก เพียงแต่บางทีข้าอาจคิดผิด...

          ช่วงที่ประเทศของเรามีนายกรัฐมนตรีพร้อมกันสองคนนั้น ข้าก็เติบโตพอสำหรับการเป็นทหาร ตอนนั้นสงครามใกล้จบลงเต็มที พวกแดงถูกตีถอยร่นไปอยู่ติดชายแดนไทย พวกเวียดนามก็กลับบ้านของพวกมันกันหมดแล้ว และทั้งที่ตอนนี้ไม่มีการกวาดต้อนผู้คนไปเป็นทหารเหมือนก่อนก็ตาม แต่ข้าก็พร้อมสมัครใจเข้ามาเอง เพราะความน่าสนุกของการสู้รบมันฝังใจข้ามาตั้งแต่เด็ก และข้าก็เติบโตเกินกว่าจะเอาหนังสะติ๊กไปไล่ยิงกันแล้ว
          "เฮ้ย! เอ็งดูซิว่าใครมา" หันไปตามเสียงนั้นก็ได้เห็นพวกมัน ไอ้เซือมกับไอ้ฮนกำลังยืนยิ้มเผล่มองข้ากับไอ้เซงอยู่
          "ข้าน่าจะรู้นะว่าต้องได้เจอพวกเอ็งที่นี่" ข้าเอ่ยขึ้นหลังจากเข้าไปทักทาย
          "แต่ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเจอพวกเอ็งแน่นอน" มันพูดพร้อมพยักหน้าใส่และหัวเราะขึ้นมา เราได้แต่มองหน้าและหัวเราะใส่กัน เรื่องราวแต่ครั้งยังเด็กกลายเป็นเรื่องเฮฮาเมื่อถูกนำมาพูดถึง...

          สถานการณ์กลับพลิกผันเมื่อกองกำลังเสริมของพวกมันเข้ามาสมทบ เราถูกโอบล้อมและเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ข้ายังคงเหนี่ยวไกสาดกระสุนเข้าใส่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง หากคราวนี้กลับเป็นไปเพื่อยับยั้งห่ากระสุนที่พุ่งเข้ามาเสียมากกว่า คมกระสุนเหล่านั้นเฉียดฉิวถากหนังข้าไป ขณะที่เจาะทะลุร่างเพื่อนพ้องของข้าบาดเจ็บล้มตายทีละฅน ทีละฅน
          ไอ้ฮนถูกยิงลงไปกองกับพื้นขณะที่มีสัญญาณให้ถอย ไอ้เซงส่งสัญญาณมือบอกข้าว่าจะเข้าไปพามันกลับไปด้วยกัน ขณะที่ข้าเหนี่ยวไกรัวไม่ยั้งเพื่อคุ้มกันให้มันทั้งสอง และขณะที่ไอ้เซงวิ่งเข้าไป ไอ้ฮนซึ่งนอนหมอบกับพื้นก็ขยับร่างน้อยๆ เหนียวไกลั่นกระสุนใส่เพื่อนที่กำลังเข้าไปช่วยมันออกมา ข้าตะลึงชาไปทั้งร่างโดยฉับพลัน ไอ้เซงส่งเสียงร้องดังก่อนล้มคว่ำแน่นิ่ง มันสองฅนสิ้นลมพร้อมกัน...

          "ว่าไง" ไอ้เซือมเดินมาตบบ่าพลางนั่งลงข้างข้า
          "เปล่า" ข้าตอบไปแบบนั้น ตอบแบบไม่รู้จะตอบอะไรดี และยังคงจ้องมองควันไฟลอยกรุ่นขณะน้ำที่ต้มใกล้เดือด
          "เอ็งว่าไหม บางทีพวกเราก็ไม่ต่างจากหมาบ้า" จู่ๆ ข้าก็พูดขึ้นมา มันหันมองหน้าด้วยแววตาที่เรียบเฉยเกินคาดเดา "เปล่า" ข้าตอบเหมือนเดิมอีกครั้งเมื่อมันถามว่าทำไม บางทีมันอาจเป็นแค่ความรู้สึกที่สับสนเท่านั้น

          หลังจากความพ่ายแพ้ในคราวนั้นเราก็โหมโจมตีอย่างหนัก และบุกถึงที่มั่นของพวกมันในที่สุด หากดูเหมือนว่าคราวนี้เราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในด้านสมรภูมิ แต่พวกเข้าตีคงไม่สามารถเลือกอะไรได้มากนัก พวกข้าเตรียมพร้อมกันกลางดึก เสียงกระสุนปืนใหญ่ลอยข้ามหัวไปตกระเบิดยังฐานที่ตั้งบนยอดเขาของพวกมันอย่างแม่นยำ สักพักพวกกองหน้าก็บุกเข้าไปพร้อมกัน เสียงจากกระสุนชนิดต่างๆ ที่พวกเราสาดใส่กันดังลั่นราวป่าแตก
          เวลาผ่านไปเนิ่นนานจวบจนฟ้าสาง พวกมันยังคงตั้งรับอย่างเหนียวแน่นแม้โดนโจมตีอย่างหนัก ขณะที่เราเริ่มอ่อนล้า ยิ่งเป็นเวลากลางวันแบบนี้พวกข้ายิ่งเสียเปรียบ เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นพวกพ้องบาดเจ็บล้มตายทีละฅนต่อหน้าต่อตา
          ข้าข้ามศพที่นอนตายรุกคืบเข้าไป จากแนวหินนี้ โคนไม้ใหญ่ตรงหน้าดูจะเป็นทำเลชัยที่เหมาะกว่าสำหรับการต่อกรกับพวกมัน แต่ข้ารู้ดีว่าต้องระวัง เพราะท่ามกลางห่ากระสุนที่สาดใส่เข้ามานั้น ยังมีปากกระบอกปืนที่จับนิ่งจ้องเล็งมายังหัวของข้าอยู่ พวกมือเที่ยง** มันแค่รอเวลาให้เราเผลอกันเท่านั้น แต่อยู่ตรงนี้ก็เสี่ยงเกินไปแล้ว ข้ารอจังหวะกะว่าปลอดภัยจึงพุ่งตัวออกไป ไม่ทันจะถึงโคนไม้ด้วยซ้ำก็รู้สึกเสียวแปลบชายโครงและช่องท้อง ล้มลงในทันที ข้าถูกยิง เริ่มรับรู้ถึงความเจ็บขณะกัดฟันคว้าปืนรัวใส่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง ข้าเริ่มอ่อนแรงพร้อมกับรู้สึกว่าร่างถูกลาก ก่อนโดนจับเหวี่ยงขึ้นบ่าของใครคนหนึ่ง...
          ข้าพยายามเบิกตาขึ้นเมื่อถูกวางลง ไอ้เซือม มันนั่นเอง ไม่คิดว่ามันจะเข้าช่วยข้าในทันที ไม่ต้องใช้ยุทธวิธีอะไรเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกฎเรื่องอาวุธ
          "เอ็ง ไม่กลัวข้าจะยิงเอ็งรึไง" ข้ากัดฟันถามออกไปขณะเปลือกตาเริ่มหรี่ปรือลงอีก ความเจ็บปวดทำให้อ่อนแรงลงทุกที
          "เอ็งยิงข้ามามากพอแล้ว" มันตอบเรียบๆ เหมือนเคย ข้าพยายามเบิกตาขึ้นอีกครั้ง ทันได้เห็นรอยยิ้มจืดๆ ของไอ้เซือม ก่อนที่เศษเนื้อ มันสมอง และเลือดสดๆ จะพุ่งทะลักออกจากท้ายทอยของมัน มันพลาดให้พวกมือเที่ยงจนได้ ดวงตาข้าเบิกกว้างโดยอัตโนมัติ กลิ่นคาวคลุ้งมาก่อนที่สติจะวูบดับไป

          รถบรรทุกทหารที่วิ่งผ่านไปจะนับได้สักเท่าไรแล้วข้าคงไม่อยากใส่ใจนัก เพียงแต่ว่าในแต่ละคันนั้นอัดแน่นไปด้วยจำนวนทหาร ซึ่งถูกจับยัดโยนใส่ด้วยกันจนเต็มคันรถ คันแล้ว คันเล่า... เราใช้เวลากว่าสามวันกับยุทธวิธีของพวกเวียดนาม นั่นคือตายสิบเพิ่มร้อยตายร้อยเพิ่มพัน กว่าจะยึดฐานที่มั่นของพวกมันได้ จำนวนทหารซึ่งนำชีวิตมาถมทิ้งในคราวนี้ก็มากมายนัก ข้านอนมองรถที่วิ่งฝุ่นฟุ้งออกไปพร้อมสูดกลิ่นของพวกเขา สักคันหนึ่งคงมีไอ้เซือมอยู่ในนั้น ข้าได้กลิ่นของมัน

          พ.ศ.๒๕๔๐ สายลมร้องยังคงพัดผ่านผืนนาแล้ง ข้านั่งปั้นกระสุนดินเหนียวเพียงลำพัง อดที่จะหวนคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ขณะทอดสายตามองฝูงวัว นึกถึงสงครามหนังสติ๊กเมื่อครั้งยังเด็ก นึกถึงสงครามที่สาดกระสุนจริงเข้าพรากชีวิตซึ่งกันและกัน ข้านึกถึงมันด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ความฮึกเหิมต่างๆ ไม่เหลือแล้ว สงครามบ้าบอนั่นจะจบเมื่อไรอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เมื่อหายดีแล้วข้าก็ทิ้งปืน หนีทัพออกมา ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนักหรอกสำหรับการหันหลังให้สนามรบ มันไม่ต่างจากการเข้าเป็นทหารของข้านั่นแหละ และไม่ว่าชีวิตคืออะไร หากวันนี้คงยอมรับได้อย่างไม่อายว่าข้าก็รู้จักรักชีวิต รู้จักกลัวตายไม่ต่างจากคนอื่นเช่นกัน ข้ากลับมาทำนา เลี้ยงวัว ใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้ม บางทีอาจมีที่ไหนสักที่เบื้องหลังชีวิตนี้ ที่ซึ่งข้าจะได้เจอไอ้เซือม ไอ้เซง ไอ้ฮน รวมถึงไอ้พวกที่ข้าเคยลั่นกระสุนใส่มันนั่นด้วย เราจะมองหน้า ยิ้ม และระเบิดหัวเราะเข้าใส่กัน ใช่! ข้าอยากให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็เป็นเพื่อน  เป็นญาติ เป็นคนชาติเชื้อขแมร์ไม่ต่างกัน ที่สำคัญ เราไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นอะไรกันเลยนี่นา.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

*เสียมราฐ (siem reap)
**sniper

วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: วัฒนา


          พ.ศ. ๒๕๒๕ รถที่มาส่งเราวิ่งฝุ่นฟุ้งจากไปแล้ว ช่วงเวลาเพียงปีกว่าๆ ในสถานการณ์แบบนี้คงไม่ทำให้หมู่บ้านของผมเปลี่ยนแปลงสักเท่าไรนัก หากความรู้สึกต่างหากที่ทำให้ดูว่ามันไม่เหมือนเดิม ผมยืนเก้ๆ กังๆ พลางกระชับอาก้าที่สะพายอยู่ หันมองน้าเตียเพื่อนร่วมรบซึ่งมาด้วยกัน ก่อนหันไปยิ้มให้ภรรยาที่พามาด้วย
          "เดินไปอีกหน่อยก็ถึงบ้านพี่แล้ว" ผมบอกเธอก่อนเดินนำออกมา "เดี๋ยวไปบ้านผมด้วยนะน้า" และไม่ลืมหันไปตะโกนตามหลังน้าเตียที่แบกปืนสะพายเป้ไปอีกทาง

          "เฮ้ย! มีเมียมาด้วยรึวะ ไอ้ว็อด" ผมชื่อว็อดธะเนีย หากใครต่อใครมักจะเรียกเพียงสั้นๆ ว่าว็อด
          "เป็นทหารมาเป็นไงบ้างวะ!"
          "มากี่วัน กลับเมื่อไรล่ะ!"
          นั่นเป็นคำถามที่ผมต้องตอบซ้ำๆ มาตลอดทาง พวกเด็กๆ พากันหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นเราสองฅน มันเป็นความอบอุ่นของหมู่บ้านเล็กๆ ที่สัมผัสได้ในช่วงสงครามแบบนี้เลยทีเดียว... และไม่ว่าอย่างไร ผมคงอดเหลือบมองบ้านไม้สองชั้นข้างทางหลังนั้นไม่ได้ขณะเดินผ่าน...
          ปีกว่าแล้วสินะ ที่ผมได้เข้าร่วมกองทัพอย่างภาคภูมิใจในฐานะทหารอาสาสมัคร ด้วยวัยที่ยังไม่ถึงสิบหกด้วยซ้ำในตอนนั้น นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นฅนพิเศษ ต่างกับอีกหลายฅนที่ถูกบังคับให้มา ซึ่งพวกนั้นก็มักจะถามผมว่า 'ทำไมเราต้องมารบกันเอง'
          "ข้าก็ไม่รู้ ข้ารู้แต่ว่าพวกมันอยู่ฝ่ายตรงข้ามที่เราต้องเอาชนะ" ใช่ ผมตอบพวกเขาไปแบบนั้น เพราะเอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าเรารบกันทำไม รู้แต่ว่าต้องเอาชนะ เพื่อที่สงครามบนแผ่นดินนี้มันจะได้จบๆ ไปเสียที ตอนนั้นผมคงคิดได้แค่นั้นจริงๆ

          แม่และพี่ชายดีใจมากกับการได้กลับบ้านหนแรกของผม เพื่อนฝูงแวะเวียนมาหาเฮฮาครื้นเครงกัน
          "ดีนี่หว่า เป็นทหารหาเมียง่ายด้วย" ค่ำนั้นบนชานบ้าน ลุงมุดกล่าวพลางกระดกเหล้าเข้าปาก ผมยิ้มและหันมองภรรยาซึ่งกำลังช่วยแม่หุงหาอาหารในครัว เธอต้องลำบากมากทีเดียว อยู่ป่าอยู่ดงท่ามกลางสงครามด้วยกันมาตลอด
          "ไอ้ว็อดมันมีเมียทุกหมู่บ้านนั่นแหละ" น้าเตียหันไปบอกลุงมุด
          "น้อยๆ หน่อยเหอะน้า" ผมเอ่ยปรามในที
          "หรือไม่จริงล่ะ ไอ้ทหารหนุ่มรูปหล่อ ผ่านไปหมู่บ้านไหนสาวๆ ติดกันเกรียว" น้าเตียกลับยิ่งเสียงดังกว่าเก่า อาจเพราะฤทธิ์น้ำเปลี่ยนนิสัยนั่นด้วย แต่ที่แกพูดมาก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเหมือนกัน หน้าที่ของเราหลังฝึกเสร็จก็คือการออกลาดตระเวน เพื่อขับไล่กดดันฝ่ายตรงข้ามให้ถ่อยร่นออกไป นั่นทำให้เราได้พบปะผู้ฅนจากหมู่บ้านต่างๆ ตามเส้นทางไปด้วย และดูว่าชาวบ้านส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างที่จะชื่นชอบเราอยู่ทีเดียว โดยเฉพาะในหมู่ของหญิงสาวในแต่ละหมู่บ้าน แต่ผมก็ไม่ได้เจ้าชู้มากมายอะไรแบบที่น้าเตียแกว่านักหรอก เมื่อได้เจอภรรยาที่พามาผมก็ตัดสินใจแต่งงาน ความจริงมันเป็นเพียงการผูกข้อมือกล่วคำอวยพรของผู้หลักผู้ใหญ่เสียล่ะมากกว่า
          "ก็ดีนะ อยู่ป่าอยู่ดงก็ได้เมียมันนี่แหละหุงหาอาหารให้กิน ไม่งั้นคงได้ล่อแต่ข้าวแห้งแช่น้ำกัน" น้าเตียยังไม่ยอมจบเรื่องของผมสักที "เออ แต่บางทีก็พากันอดอยู่เหมือนกันนะ ไอ้มันนี่หรือก็ไม่เคยเห็นใจผู้หญิง พาบุกป่าฝ่าดงหอบหิ้วไปด้วยกันไม่ให้ห่าง"
          "อ้าว น้า! ผัวเมียมันก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ" ผมรีบค้านก่อนที่แกจะพล่ามไปมากกว่านี้
          "ที่เอ็งพูดน่ะมันก็ถูก" น้าเตียยังคงกล่าวต่อ "สามีภรรยามันก็ต้องอยู่ด้วยกัน ดูแลซึ่งกันและกัน แต่เอ็งน่ะมันมากไปหรือเปล่า กระเตงกันไปกลางสนามรบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนั้นน่ะ" น้าเตียจบคำพูดยืดยาวของแกด้วยการกระดกเหล้าเข้าปาก เรื่องนี้ความจริงผมเองก็คิดอยู่เหมือนกัน ว่าควรจะดูแลภรรยาให้ดีกว่านี้ ที่พามานี่ก็ได้ตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะให้เธอได้อยู่กับแม่เมื่อครบกำหนดวันต้องกลับกรมกอง
          "เอ็งนี่มีเมียไวกว่าพวกเลยนะ" ลุงมุดพูดขึ้นมาอีก
          "ใช่ๆ พวกเราอยู่นี่ยังหาไม่ได้กันสักฅน" คราวนี้เป็นไอ้เสกที่ช่วยเสริมคำพูดลุงมุดจากเปลญวนที่ผูกอยู่กับเสา
          "จะว่าไปเอ็งนี่มันมีเมียก่อนพี่อีกด้วย" ลุงฮุนผู้นั่งเงียบฟังเราคุยกันมานานออกความเห็นขึ้นมาบ้าง
          "แล้วเรื่องพี่กับจันธรล่ะครับ" ผมหันไปถามพี่ชายซึ่งยังคงนั่งยิ้มอยู่ข้างวงเหล้า
          "ไอ้ผู้ช่วยเจือนมันบังคับอีจันธรแต่งกับลูกกำนันไปแล้ว" ลุงมุดเป็นฝ่ายตอบแทนพี่ชายขึ้นมา... ตาเจือน แกกีดกันความรักของพวกเขาทั้งคู่จนได้สินะ ผมอดคิดถึงเรื่องนั้นไม่ได้...

          พี่ชายผมกับจันธรรักกันใครๆ ก็รู้ แต่ที่ผมไม่รู้ก็คือตาเจือน ไม่รู้ว่าแกมีเรื่องแค้นเคืองอะไรต่อพ่อผมนัก ขนาดที่ว่าพ่อตายไปหลายปีแล้วแกยังไม่คลายความชิงชังที่มีต่อพวกเรา ความรักของพี่ชายผมกับลูกสาวแกจึงถูกกีดกันมาโดยตลอด
          "ตอนที่ผ่านบ้านแกมารู้สึกว่าจะไม่เห็นนะ แกอยู่ไหม" ผมตั้งข้อสังเกตพร้อมคำถาม
          "มันจะกล้าอยู่รึ! พอผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเอ็งจะมา มันก็หนีไปบ้านญาติมันแล้ว" ลุงมุดเป็นฝ่ายตอบอีกเช่นเคย

          ผมยังคงจำเรื่องราวที่ผ่านมานั้นได้ดี วันที่ต้องแปลกใจเมื่อกลับจากโรงเรียนแล้วได้เห็นตาเจือน พร้อมฅนแปลกหน้าอาวุธครบมือบนบ้านของเรา มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
          "เขาจะเอาพี่เอ็งไปเป็นทหาร" ผมสะอึกกับคำที่แม่บอกทั้งน้ำตา  บ้านของเรามีกันเพียงสามฅน แม่ผมแก่มากแล้วหนำซ้ำยังพิการอีกด้วย ขาข้างหนึ่งของแกลีบเล็กมาแต่กำเนิด หลังจากพ่อตายแม่ก็เลี้ยงเราสองพี่น้องมาด้วยความยากลำบาก เมื่อโตขึ้นพี่ชายก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในบ้านมาตลอด ขณะที่ผมเองนั้นยังเรียนอยู่เลย ในสภาพสงครามแบบนี้หากขาดพี่ชายบ้านเราคงต้องลำบากกว่าเดิมมาก แต่ตาเจือนดูจะไม่ยอมรับรู้หรือสนใจอะไร เพราะต้องการแยกพี่ผมออกจากลูกสาวนั่นสินะ แกถึงได้พาฅนมาจับพี่ชายไปเป็นทหาร ทั้งที่โดยปกติแล้วผู้ใหญ่บ้านจะคอยบอกคอยเตือนพวกเราล่วงหน้าเสมอ หากว่าวันไหนจะมีการมาหาจับตัวฅนในหมู่บ้านแบบนี้...
          "ผมขออาสาสมัครเป็นทหารเองครับ" ผมตัดสินใจในเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนที่พี่ชายจะถูกนำตัวไป หลังจากตัดสินใจกันสักพักพวกเขาก็ยอม
          "วันไหนที่กูกลับมา มึงตาย!" ผมหันไปส่งเสียงลอดไรฟันบอกตาเจือนก่อนตามพวกเขาขึ้นรถไป

          ครบกำหนดเจ็ดวันแล้วแต่ผมยังไม่ได้กลับกรมกอง เพราะต้องดูแลภรรยาที่เกิดไม่สบายขึ้นมานั่นแหละ และนั่น ทำให้ผมได้พบกับแก ตาเจือน การออกมาหายาต้มให้เมียของผมทำให้เราทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากัน...

          ท่ามกลางอากาศอบอ้าวระอุกลางทุ่งวันนั้น ตาเจือนยืนหน้าซีดอยู่ตรงหน้า ผมแบกอาก้าอยู่บนไหล่ แกดูตื่นทีเดียวเมื่อผมยกปืนออกจากบ่า
          "สวัสดีครับลุง" ผมพนมมือไหว้ขณะที่แกยังมองด้วยสายตาคลางแคลง
          "เอ็ง ไม่โกรธข้า แล้วรึ" ตาเจือนตะกุกตะกักถามออกมาในที่สุด
          "มันคิดได้มากกว่า" ผมตอบ เว้นจังหวะชั่วขณะก่อนกล่าวต่อ "ฅนเราต่างมีหน้าที่ ที่ผมต้องจับปืนรบรากันนั่นก็ด้วย"
          ลมเย็นพัดมาพอช่วยบรรเทาไอร้อนขณะที่ตาเจือนดูผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
          "ความจริงต้องขอบคุณลุงเสียอีก ที่ทำให้ผมเติบโตขึ้นไม่ใช่เด็กอารมณ์ร้อนแบบเมื่อก่อน" ผมบอกกับแกตามที่คิดได้ในตอนนี้จริงๆ การโกรธแค้นไม่ควรเป็นหน้าที่ของเราสองฅน และบางที ความต้องการแต่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน คงไม่อาจที่จะยุติสงครามในใจของพวกเราได้หรอก ผมยิ้ม เป็นครั้งแรกที่ผมมีความสุขเมื่อสบตาแก.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง

ชีวิตเปื้อนสุข: สุขา


          "อีกาตัวหนึ่ง ร้อง กา กา เสียงดังทีเดียว มันบินวนเวียนไปมาหาน้ำดื่ม แต่ก็หาไม่ได้ เพราะห้วยหนองคลองบึงพากันแห้งแล้งกันดารไปหมด อีกามันจึงหิวน้ำมากเลย"

          แม่เล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนเช่นทุกคืน นิทานของแม่มีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายกับหอยโข่ง งูเก็งกอง กระต่ายกับปลาช่อน ศรีธนญชัย หรืออีกากับเหยือกน้ำที่ผมกำลังได้ฟังอยู่นี้...

          ผมชื่อโซ็ะคา อายุสิบสองปี เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สามของโรงเรียนเล็กๆ ในอำเภอระตะนะม็อณฎ็อลแห่งนี้ ที่จริงบ้านของผมนั้นอยู่ห่างจากโรงเรียนมากเลยทีเดียว แต่โรงเรียนนี้ก็นับว่าใกล้ที่สุดแล้วสำหรับการเดินทางมาเรียนของผม
        เมื่อชาวบ้านช่วยกันสร้างเรือนไม้หลังยาวเสร็จแล้ว หากว่าพอมีเวลาคุณครูก็จะพาพวกเราไปที่นั่นกัน ลำคลองซึ่งไม่มีน้ำแม้สักหยดนั่น มันอาจไม่เคยมีน้ำเลย หรือผมอาจไม่รู้ว่ามันเคยมี มันอยู่ตรงชายป่าโล่งๆ ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก ท้องคลองที่ดูเหมือนกับรางน้ำแห้งขอดนั้นมีแตหินก้อนกลมมน และกองกระดูกกระจัดจายอยู่ทั่วไป มันดูขาวโพลนเต็มไปหมด คุณครูบอกให้พวกเราช่วยกันเก็บรวบรวมเศษซากเหล่านั้นขึ้นมา ผมไม่รู้หรอกว่าท่านให้เราทำอย่างนั้นกันทำไม แต่ถ้าคุณครูบอกว่าให้เก็บ ก็แสดงว่ามันต้องเก็บนั่นแหละ เราทำแบบนั้นกันทุกวันที่มีเวลา บางแห่งมีร่องรอยแทร็กเตอร์ไถดินกลบ เราก็จะขุดคุ้ยขึ้นมาเท่าที่พอจะขุดหาได้ ไม่นานเรือนยาวหลังนั้นก็เต็มไปด้วยเศษซากกระดูกมนุษย์ โดยเราจะแยกส่วนที่เป็นกะโหลกกับแขนขาและส่วนอื่นๆ ออกจากกัน กองกระดูกเหล่านี้มาจากไหน ทำไมผู้ฅนจึงมาตายที่นี่กันมากมายนัก ผมอดสงสัยไม่ได้ขณะคอยช่วยส่งหัวกะโหลกเหล่านั้นให้คุณครูจัดวางอีกที
          "ทำไมจึงมีฅนตายเยอะจังครับ" ผมถามพลางมองหัวกะโหลกที่เหมือนกับอ้าปากสะแหยะยิ้มอยู่ในมือ "พวกเขาเป็นอะไรตาย"
          "ถูกฆ่านั่นแหละ" คุณครูตอบเรียบๆ พลางเอื้อมมือมารับกะโหลกจากผม
          "ใครฆ่าพวกเขา" ผมยังคงสงสัย "พวกเวียดนามหรือครับ"
          "ฅนขแมร์ด้วยกันนี่แหละ"
          "พวกอ็องการ์...?" ผมคิดว่าต้องเป็นพวกเขา บางครั้งพวกนั้นก็ถูกเรียกว่าอีกา ทหารชุดดำกับผ้าขาวม้าห้อยคอนั่น คุณครูหันมองผมและพยักหน้าเงียบๆ

          พ.ศ.๒๕๑๘ ตอนที่อายุเจ็ดขวบ ผมต้องสะดุ้งตื่นจากเสียงปืนที่รัวลั่นกลางดึก พ่อพาผมกับแม่ไปหลบในป่า ท่ามกลางเสียงปืนเสียงสู้รบนั้น ผมหลับตาซุกหน้ากับอกแม่ที่กระชับผมไว้ในอ้อมกอดเช่นกัน ตอนนั้นผมทั้งกลัวและสับสน ทั้งไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ ผมรู้แต่ว่าพวกทหารที่อยู่ในหมู่บ้านรวมถึงทหารฝรั่งพวกนั้น กำลังรบอยู่กับพวกไหนสักกลุ่ม
          ใกล้สางเสียงปืนจึงสงบลง เราออกมาจากป่าและได้รู้ว่าพวกต่างชาติถูกขับไล่ออกไปแล้ว สะพานเข้าออกหมู่บ้านถูกเผาทำลายหมด และเราต้องอยู่ภายใต้การปกครองของพวกที่เข้ามาใหม่ ทหารชุดดำเหล่านั้น พวกอ็องการ์* ตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไร แต่ยังจำได้ดีถึงคำประกาศที่บอกว่าประเทศของเราเป็นอิสระแล้ว อิสระที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ โดยเริ่มจากสีของเสื้อผ้า...
          "เปลือกอะไรน่ะแม่" แม่หยุดตำเปลือกไม้และหันมองเมื่อผมถาม แววตาของแม่ก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
          "ถอดเสื้อผ้าออกมาจะได้ย้อม" แม่บอกกับผมพลางควักเปลือกไม้จากครกใส่อ่างน้ำ อ็องการ์ทำให้ผมได้รู้ว่าเปลืกไม้หรือเมล็ดของผลไม้บางชนิดก็ใช้ย้อมเสื้อผ้าได้เช่นกัน เวลานี้ผ้าทุกสีล้วนเป็นสิ่งต้องห้าม ฅนของอ็องการ์ต้องใส่ชุดดำล้วนเท่านั้น การทำให้เสื้อผ้าที่มีเปลี่ยนเป็นสีดำหรือคล้ำลงคือสิ่งที่เราต้องรู้จักทำ เสื้อนักเรียนสีขาวกับกางเกงของผมถูกใส่ไปในน้ำข้นดำจากยางไม้นั้น มันค่อยๆ เปลี่ยนสีในทันที
          "ทำไมเราต้องใส่ชุดดำกันด้วยครับ" ผมถามพลางพลิกกลับผ้าในอ่าง เสื้อขาวของผมกลายเป็นสีเทาดำไปแล้ว
          "ไม่ต้องถามหรอก เขาบอกให้ใส่ก็ใส่เถอะ" นั่นคือคำตอบของแม่ และมันดูจะเป็นแบบนั้นทุกครั้งที่ผมถามไม่ว่าเรื่องอะไร จนผมเลิกที่จะสงสัยหรือมีคำถามอะไรแล้ว

          ยังมีความเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้น เช่นว่าเราไม่ต้องใช้เงิน ผมไม่ต้องไปเรียน ฅนเฒ่าฅนแก่ก็ไม่ต้องไปวัด ทุกฅนในหมู่บ้านไม่ว่าหนุ่มสาวหรือวัยไหนล้วนมีงานที่ต้องทำ ไม่เว้นแม้แต่เด็กอย่างผม งานหลักของเด็กๆ อย่างเราก็คือการหาเก็บขี้วัวขี้ควาย แล้วหามมากองผสมกับใบไม้ใบหญ้าเพื่อให้กลายเป็นปุ๋ยหมัก มันเป็นงานที่ค่อนข้างหนักแต่เราก็ทำกันโดยไม่มีเกี่ยงงอนหรือทักท้วง แม้จะเหนื่อยหรือหิวเพียงใดก็ตาม เราทำได้เพียงเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นกบฏ... ในที่สุดผมก็เริ่มชาชินกับการใช้ชีวิตตามคำสั่งไปแล้ว

          วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว ไอ้มณทรุดร่างผอมสูงของมันลงกับพื้นด้วยอาการที่บอกว่าเหนื่อยล้าเต็มทน ผมเองก็ไม่ต่างกับมันสักเท่าไรนักหรอก เราพากันนั่งหอบหลังจากช่วยกันหามขี้วัวขี้ควายสดๆ มาใส่กองปุ๋ย สองฅนพ่นลมหายใจทางปากโดยไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา หลังจากพักกันครู่หนึ่งเราก็ทำงานต่อ เมื่อเหนื่อยก็เริ่มหิวกันอีกแล้ว แต่เราจะไม่ได้กินอะไรอีกจนกว่าจะถึงมื้อกลางวัน ความอดอยาก เหนื่อยยาก และหิวโหย กลายเป็นเรื่องปกติที่เรารับรู้ได้ โลกของเราเป็นแบบนั้นไปแล้วจริงๆ
          ฝูงวัวเล็มหญ้ากลางทุ่ง เด็กเลี้ยงวัวแขนลีบนั่งเฝ้าพวกมันอยู่บนโคก ชาวบ้านทำงานอยู่ในไร่ไม่ไกลนัก ผมกับไอ้มณยังคงหาเก็บขี้วัวขี้ควายกันไป เราต่างทำหน้าที่ตามได้รับมอบหมายของแต่ละฅน... เสียงเคาะระฆังแว่วมา เด็กๆ รีบผละจากงาน ทุกมื้อเราจะได้กินอาหารก่อนฅนโตเสมอ ผมวิ่งพลางคลำช้อนในกระเป๋ากางเกงไปด้วย มันไม่เคยห่างกายนับแต่วันที่ได้รับแจก แต่ผมทำชามแตกไปนานแล้ว ช้อนของไอ้มณก็หายไปแล้วเช่นกัน เราจึงต้องพึ่งพากันยามนี้เสมอ
          เด็กหลายฅนนั่งกินข้าวกันก่อนแล้วตามสำรับที่ถูกวางเรียงไว้ให้ วันนี้เรามาช้านิดหน่อยเพราะมัวแต่อยู่ในทุ่งกัน ทุกมื้อกับการใช้ชามร่วมกันช้อนคันเดียวระหว่างผมกับไอ้มณนั้นทำให้เราต้องรีบเสมอ ผมซดข้าวต้มเละๆ เข้าปากไปได้หนึ่งคำไอ้มณก็รีบคว้าช้อนไปจากมือ ก่อนที่ผมจะทันได้วางลงด้วยซ้ำ มันตักน้ำปลาร้าใส่ชามข้าวต้มก่อนตักซด แล้ววางช้อนลงในชามเพื่อให้ผมได้หยิบมาใช้ต่อ การกินอาหารแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติอีกอย่างสำหรับเราสองฅนเช่นกัน วันนี้ดีหน่อยที่นอกจากข้าวต้มเปื่อยๆ และปลาร้าที่มีแต่น้ำนั่นแล้ว เรายังมียอดกระถินพอให้ได้เคี้ยวผักกันบ้าง...

          อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ผมยังคงช่วยคุณครูจัดวางกองกระดูกในเรือนยาวนั่น
          "ทำไมอ็องการ์ถึงได้ฆ่าฅนมากมายขนาดนี้" ผมเอ่ยถามขึ้นอีก
          "มันมีหลายเหตุผลที่เขาจะอ้าง เพราะฅนพวกนี้คือศัตรู เป็นกบฏ" ครูหันมองหน้าและทำท่าเหมือนจะพยายามยิ้มให้ผม "ที่น่าขันก็คือเพราะว่าพวกเขาเป็นหมอ เป็นพระ เป็นฅนรวย เป็นดารา นักร้อง... หรือเป็นครูแบบครูนี่ไงล่ะ" เรานิ่งกันชั่วขณะ ฅนเป็นหมอเป็นพระดารา หรือครูก็ต้องถูกฆ่าด้วยหรือ ผมนึกถึงไอ้นา เด็กเลี้ยงวัวแขนลีบคนนั้น พ่อของมันเป็นครู และหายไปพร้อมกับการเข้ามาของพวกอ็องการ์ นั่นสินะผมจึงไม่ได้เรียนต่อในตอนนั้น แต่ผมก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกเขาต้องฆ่าฅนมากมายขนาดนี้ คงได้แต่หาคำตอบและอดคิดย้อนไปอีกไม่ได้

          ที่หมู่บ้านเก่าของผม หลังจากชาวบ้านโดนยึดสมบัติที่มีรวมถึงที่ดินเข้ากองกลางหมดแล้ว วันหนึ่งในที่ประชุมพวกเขาก็ถามหาฅนซึ่งเคยมีตำแหน่ง ไม่ว่าจะเคยเป็นทหาร หรือผู้นำในหมู่บ้าน ให้ทุกฅนลงชื่อไว้เพื่อจะได้มอบหมายงานในตำแหน่งเดิมให้ทำ พวกเขาบอกแบบนั้น ผมยังแปลกใจที่เห็นพ่อไปลงชื่อกับเขาด้วย พ่อของผมไม่ใช่ทหารไม่ใช่ครูหรืออะไรเลยนี่นา หรือว่าพ่อจะมีตำแหน่งอะไรที่ผมไม่เคยรู้ ผมได้แต่คิดแบบนั้นเพราะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้...

          ธงชาติยังคงโบกสะบัดท่ามกลางอากาศอบอ้าว ผมแหงนมองยอดเสาพลางคิดไป จำได้ว่าแม่ไม่เคยตอบคำถามนอกจากสั่งห้าม ห้ามพูดห้ามถาม แต่ตอนนี้ผมพอเข้าใจได้แล้วว่าพ่อหายไปไหนหลังจากวันนั้น รวมถึงชาวบ้านหลายฅนที่มักถูกประกาศในที่ประชุมว่าพวกเขาเป็นกบฏนั่นด้วย... ขณะที่ช่วยคุณครูทำงานไป เมื่อมองกะโหลกชิ้นย่อมในมือก็ทำให้ผมอดคิดถึงมันขึ้นมาอีกไม่ได้...

          ที่เรือนรับประทานอาหารของเรา วงข้าวบางสำรับถูกเก็บไปแล้ว แต่เป็นเพราะเด็กพวกนั้นกินอาหารกันเสร็จแล้วมากกว่าจะอิ่ม เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ไอ้มณก็หย่อนบางอย่างที่มีสีออกดำๆ ลงชามข้าวต้มก่อนที่ผมจะตักขึ้นมา มันหลิ่วตาพยักหน้านิดๆ เมื่อผมหันมอง นั่นหมายถึงเงียบไว้และรีบกินไป ผมตักข้าวต้มพร้อมชิ้นสีดำนั่นเข้าปาก และรับรู้ได้ถึงความร้ายกาจของไอ้มณ มันแอบไปหาปลาและเผาซุกไว้ตั้งแต่เมื่อไร ท้องคลองเมื่อย่างเข้าหน้าแล้งแบบนี้จะมีน้ำขังเป็นแอ่งๆ และบางทีก็จะมีปลาที่เราเรียกว่าปลาตกคลักหลงเหลืออยู่ในแอ่งนั้น พวกฅนโตก็กำลังเผาป่าที่แผ้วถางเพื่อปลูกข้าว มันคงจะไปแอบเผาปลามาจากที่นั่น ผมเหลือบตามองไอ้มณที่ยังคงมีสีหน้านิ่งสนิทเหมือนเดิม การแอบหาปลามากินเองแบบนี้ถือว่าเป็นกบฏได้เลยทีเดียว ตอนนี้สังคมของเราคือส่วนรวม ของทุกอย่างไม่ว่าจะได้มาอย่างไรล้วนต้องเข้ากองกลาง ผมเคยเห็นหลายฅนถูกเอามาประกาศในที่ประชุมว่าเป็นกบฏ ก่อนที่พวกเขาจะหายไปอันเนื่องมาจากการแอบซุกซ่อนสิ่งของไว้เป็นส่วนตัวอยู่เนืองๆ แต่เวลานั้นผมหิวเกินกว่าจะมัวคิดอะไร อีกอย่างคือผมไม่เคยได้กินปลาย่างมานานเท่าไรก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน ต้องขอบคุณไอ้มณนั่นแหละที่ทำให้ผมไม่ลืมรสชาติของมันไปเสียก่อน

          ที่โคนเสาธง หลังจากเสร็จงานเราก็มีเวลานั่งคุยกัน ความโหดร้ายต่างๆ ถูกระบายออกมาจากปากของคุณครู เรื่องราวของการเข่นฆ่าทารุณอันเป็นที่มาของกองกระดูกตรงหน้าซึ่งผมไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ช่างน่าอดสูนัก ความโหดร้ายเหล่านั้นผมเคยอยู่กับมันด้วยซ้ำ แต่กลับไม่เคยสลดใจเท่ากับที่ได้ฟังจากปากของคุณครูในวันนี้เลย อาจเป็นเพราะตอนนั้นผมยังเด็กเกินไป จึงมองทุกอย่างว่าเป็นธรรมดาของชีวิต เพราะทุกฅนที่เห็นล้วนไม่มีใครต่างกัน โลกของผมมีอยู่แค่นั้น และอาจเป็นเพราะไม่เคยได้รับรู้ถึงการเข่นฆ่าโหดร้ายนั่นด้วยกระมัง จะว่าไปแล้วท่ามกลางสงครามแบบนี้ ผมเคยเห็นฅนตายต่อหน้าต่อตาก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้นจริงๆ
 

          ตอนอายุสิบเอ็ดขวบคือช่วงที่ผมต้องทำความเข้าใจกับความสับสนอีกครั้ง เมื่อเราต้องมาพัวพันกับทหารเวียดนาม พวกเขาพาเราอพยพออกจากหมู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงจากพวกอ็องการ์ซึ่งถูกตีแตกและชอบเข้ามาปล้นอาหาร ชาวบ้านไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องทิ้งหมู่บ้านตามทหารเวียดนามออกมา พวกเขาบอกว่าไม่นานหรอก เมื่อทุกอย่างคลี่คลายพวกเราก็จะกลับมาที่หมู่บ้านได้อีก หากแต่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยได้กลับบ้านเกิดอีกเลย...
          ผมกับไอ้มณ เราเดินคู่กันมาดีๆ จู่ๆ มันก็ผงะล้มลงพร้อมกับเสียงปืนที่ดังมาจากป่า
          "มันตายแล้ว" ชาวบ้านที่ถึงตัวมันก่อนร้องบอก ขณะที่ผมยังคงตะลึงไม่ทันขยับตัวด้วยซ้ำกับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกระทันหันตรงหน้า เราไม่รู้ว่าลูกปืนที่พรากชีวิตของมันลอยมาจากไหน ดวงตาเบิกโพลงมองมายังผมนั้นเป็นการบอกลาที่ยังจำได้ไม่ลืม
          "เราเป็นทหารกันไหม" ผมนึกถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของมัน
          "เราตัวเล็กเกินไป" ผมแย้ง
          "ไม่เล็กหรอก ใครอยากเป็นก็เป็นได้ทั้งนั้นแหละ"
          "ทำไมถึงอยากเป็นทหาร" ผมถามกลับไป
          "พวกทหารได้กินข้าวสวยเป็นเม็ดๆ " มันตอบนิ่งๆ เหมือนเคย ผมหันมองใบหน้าผอมซูบนั้น ตลอดสี่ปีมานี้เราอดอยากกันจริงๆ และจริงอยู่ที่พวกทหารจะได้กินข้าวสวยเป็นเม็ดๆ แต่พวกนั้นก็ต้องจับปืนรบกับศัตรู โดยเฉพาะพวกเวียดนามที่อ็องการ์บอกว่าชั่วร้ายที่สุด พวกเขาจึงสมควรที่จะได้รับการกินอยู่ที่ดีกว่าเรา... ผมยังไม่ทันได้ให้คำตอบกับมันพวกทหารเวียดนามก็บุกเข้ามาเสียก่อน...

          คุณครูจากไปแล้วขณะที่เพื่อนๆ ต่างเตรียมตัวกลับบ้านกัน ผมยังคงยืนมองกองกระดูกพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย... หลังจากพวกเราตามทหารเวียดนามออกมาแล้วก็ไม่ต้องเป็นพวกใคร เรามีอิสระ แต่ยังคงต้องสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณค่ายพักของพวกเวียดนามเพื่อความปลอดภัย เราสามารถหากินกันเองท่ามกลางความแร้นแค้นนั้นได้ และของที่หาได้ก็ไม่ต้องเข้ากองกลางอีกต่อไป ชีวิตของพวกเรานั้นจะว่าไปแล้วต้องบอกว่าดีกว่าที่ผ่านมามากเลยทีเดียว ผมอดคิดถึงไอ้มณอีกไม่ได้ มันตายเร็วเกินไปจึงไม่ทันได้กินข้าวสวยเป็นเม็ดๆ หากมันยังอยูผมคงให้แม่แบ่งข้าวสารให้มันบ้าง แม่ของผมพอพูดเวียดนามได้จึงรับหน้าที่คอยหาซื้อสเบียงให้พวกเขา นั่นทำให้เรามีข้าวสารมาหุงกินกัน ต่างจากเด็กอื่นที่ไม่มีกระทั่งข้าวต้มเละๆ สักถ้วย เพราะพ่อแม่ของพวกเขาไม่สามารถหาข้าวให้ได้ พวกนั้นก็จะต้องออกหาขุดกลอยตามป่ามากิน ซึ่งบางทีพวกเขาก็หมดแรงตายก่อนที่จะได้เจอ

          บ่ายคล้อยมากแล้ว ผมหันหลังให้กองกระดูกในเรือนยาวเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ความทุกข์ยากมันผ่านไปแล้ว ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว แม้เสียงปืนเสียงสู้รบจะยังคงเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและรอบด้านก็ตามที แต่วันนี้ผมไม่อดอยากเหมือนก่อนเพราะมีข้าวกินอย่างที่บอก เรามีน้ำปลาร้าเหลือเฟือ และหากวันไหนที่ผมหาปูปลาหากบเขียดมาได้ นั่นหมายความว่าเราจะมีเนื้อเป็นชิ้นๆ กินกัน โดยที่เราไม่ต้องแอบซ่อนกบเขียดปูปลาที่หาได้เหมือนตอนที่อยู่กับพวกอ็องการ์อีกต่อไป  และตอนนี้ผมมีอิสระพอที่จะเดินเท้าเปล่าบนเส้นทางหลายกิโล เพื่อไปกลับโรงเรียนซึ่งอยู่ฅนละหมู่บ้านท่ามกลางสงครามซึ่งยังคงคุกรุ่นนี้ได้ ที่สำก็คัญคือผมได้เรียนต่อหลังจากหยุดมานานหลายปี และยังได้ฟังนิทานที่แม่หยุดเล่ามาหลายปีแล้วด้วยเช่นกัน ผมว่าชีวิตของผมมีความสุขดีทีเดียวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เพียงแต่ว่าผมยังคงเป็นเด็กเท่านั้น...

          "หลังจากใส่ก้อนหินลงไปทีละก้อน ทีละก้อนแล้ว น้ำในเหยือกนั้นก็สูงขึ้นมา อีกามันก็ดื่มน้ำแก้กระหายได้ในที่สุด"

          ผมยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนิทานของแม่จบลง.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

*อ็องการ์ คำเต็มคือ อ็องการ์ปเดะว็อต (องค์การปฏิวัต)

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตเปื้อนสุข: วาสนา


          ปี ๒๕๑๘ เย็นนั้นฟ้าครึ้มหม่น รถบรรทุกซุงคำรามก้องขณะพุ่งทะยานไปตามเส้นทางลูกรัง ล้อรถบดถนนส่งฝุ่นฟุ้งกระจาย บนซุงท่อนใหญ่ ผมนั่งรับแรงสั่นสะเทือนบนตักพ่อซึ่งกอดผมไว้บนนั้น แม่อยู่ถัดออกไปด้านหลังกับผู้ร่วมเดินทางอีกสองสามฅน ท่ามกลางเวลาที่เหมือนว่าหยุดนิ่ง ทุกสิ่งดูเงียบงัน ม่านเงาแห่งความชั่วร้ายเริ่มสยายปีกโอบคลุม เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวนั้น แม้จะยังเข้าใจได้ไม่ชัดว่ามันคืออะไรก็ตามที

          ก่อนหน้านี้ผมยังวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อยู่เลยเมื่อแม่เรียกหา ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งรวมถึงผู้ใหญ่บ้านและพวกทหารยืนคุยอยู่กับพ่อหน้าโรงเรียน
          "ครูรีบพาลูกเมียไปเถอะ ชักช้าจะไม่ทันการนะครับ" ผมได้ยินชายฅน หนึ่งบอกกับพ่อเมื่อไปถึง ที่จริงผมเริ่มสังเกตได้ว่าผู้ฅนในหมู่บ้านมักมีคำพูดแปลกๆ กันได้สักพักหนึ่งแล้ว พ่อทอดสายตาสู่สนามดินเบื้องหน้า แหงนมองปราสาทห้ายอดปลิวสะบัดปลายเสาด้วยแววกังวลและเครียดขรึม
          "ไอ้เธียก็ไม่รู้ไปอยู่ไหนสิน่า" เสียงแม่บ่นพึมพำถึงพี่ชายของผม
          "ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมเจอจะพาเขาไปที่หลังเองครับ" ชาวบ้านฅนเดิมหันมาบอกกับแม่... รถซุงติดเครื่องรอเราอยู่ไม่ไกลนัก ผมไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไร และทำไมเราต้องรีบขนาดนี้ แม่ใช้เวลาเก็บของไม่นานเราก็ออกเดินทาง ซึ่งผมพอรู้ได้ว่ามันคือการหลบหนีจากบ้านเกิด

          ผมชื่อเวียสะนา หมู่บ้านซ็อมโฬต จังหวัดบัตด็อมบอง* คือสถานที่ซึ่งผมได้ลืมตาดูโลก ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ วันนั้นแผ่นดินลุกเป็นไฟ พ่อเล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่ลุกฮือต่อต้านอำนาจปกครอง พวกเขาถูกกวาดล้างและล้มตายหลายร้อยฅน  หมู่บ้านถูกเผา เปลวไฟลุกโชนครอบคลุมแทบทุกหลังคาเรือน มันเป็นความโหดร้ายและสยดสยองที่สุดเท่าที่ทุกฅนเคยได้เจอ แต่ไม่มีใครจะได้คาดคิดเลยว่า ทั้งหมด จะเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นหนึ่งเท่านั้น

          เมื่อเราออกสู่ถนนลาดยางก็ถึงจุดหมาย วัดแตรง ผมเห็นชาวบ้านหลายฅนมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ที่นี่มีทหารเช่นกันกับที่หมู่บ้านของผม และดูจะมีมากกว่าด้วย ทั้งทหารขแมร์และพวกต่างชาติตัวโตผมแดงพวกนั้น

          "เราจะทิ้งเขาไว้อย่างนั้นรึ" แม่ถามพลางหันสบสายตาว่างเปล่าของพ่อ "ให้ฉ้นกลับไปรับลูกเถอะ"
แม่อ้อนวอนขณะที่พ่อนิ่งสักพักก่อนพยักหน้าแทนคำตอบ
          "แม่! ผมไปด้วย" หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะผมก็ร้องขึ้นและรีบวิ่งตามไป ความหวาดวิตกจากสิ่งซึ่งยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรนั่นแหละที่ทำให้ไม่อยากห่างแม่ ผมวิ่งออกไปโดยไม่ได้หันกลับหลังเลย ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าพ่อ

          ฉากความทรงจำที่ยังไม่ซีดจาง ท่ามกลางแสงตะเกียงมัวหม่นนั้น พ่อชี้ก้านธูปไล่ตามแถวอักษรบนตำราเรียนสอนผมอ่านหนังสือเช่นทุกคืน
          "เก่งมากลูก" พ่อเอ่ยชมเมื่อผมสะกดเองได้ถูกต้อง "ลูกต้องเรียนให้เก่ง และขยันหาวิชาความรู้เข้าไว้นะ" พ่อพูดพลางลูบหัวผมไปด้วย
          "ครับพ่อ" ผมรับคำพลางเงยหน้ามอง แสงตะเกียงวับแวมจับรอยยิ้มใจดีบนใบหน้านั้น "โตขึ้นผมจะได้เป็นนักครูเหมือนพ่อ"

          'คำสัญญายังคงแจ่มชัด หากความเป็นจริงกลับเลือนลาง'

          "ดีแล้วลูก สำคัญที่สุดของความเป็นฅนก็คือการมีวิชาความรู้ จำไว้นะลูก"
          คำพูดของพ่อยังก้องอยู่ในหัว แม้ว่ายามนี้หลายสิ่งจะเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง... ฝูงวัวยังคงเล็มหญ้ากลางทุ่งร้อนอย่างไม่รู้สึกรู้สา ผมนั่งเฝ้าพวกมันอยู่บนโคกกลางนา กับวันเวลาและหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือรอย

          "กินน้ำมั้ย" ลุงเมาถามพลางยื่นกระบอกส่งให้เมื่อขึ้นมาบนโคกที่ผมนั่งอยู่ ผมขอบคุณแกก่อนรับมาดื่ม
          "แขนขวายังเจ็บอยู่รึไง ถึงใช้แต่แขนซ้าย" แกถามพลางจับข้อมือลูบคลำแขนข้างนั้นของผมไปด้วย
          "ไม่ค่อยเจ็บแล้วครับ แต่มันยังไม่มีแรงและไม่ค่อยถนัดนัก" ผมตอบก่อนวางกระบอกน้ำลง เช็ดปากด้วยฝ่ามือ
          "ไม่ถนัดก็ต้องหัดใช้มันบ้างนะ" ลุงเมาเอื้อมมือลูบหัวและยิ้ม มันทำให้ผมคิดถึงพ่อ ซึ่งความจริงแล้วสำหรับลุงเมานั้นถือว่าแกเป็นฅนมอบชีวิตใหม่ หรือเป็นพ่อฅนที่สองของผมเลยก็ว่าได้...

          เย็นนั้นเมื่อเราสองแม่ลูกย้อนกลับมา กว่าจะพบพี่ชาย รถซุงเที่ยวสุดท้ายก็หมดลงแล้ว ฅนรถบอกว่าต้องรอพรุ่งนี้สำหรับรถเที่ยวต่อไป แต่ฟ้าไม่ทันจะสาง พวกทหารชุดดำกับผ้าขาวม้าห้อยคอก็มาถึง พวกเขาสู้รบกันกลางดึกกับทหารในหมู่บ้าน รุ่งเช้าหมู่บ้านก็ถูกปิด ไม่มีใครที่จะสามารถเดินทางเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ การฝ่าฝืนหรือหลบหนีถือว่าเป็นกบฏ และเราทุกฅนต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอ็องการ์** พ่อของผมคือฅนหนึ่งที่พวกเขาต้องการตัว เมื่อไม่เจอพ่อพวกนั้นก็โกรธ และไม่เชื่อว่าพ่อจะหนีไปฅนเดียวโดยทิ้งพวกเราไว้แบบนี้  พวกเขาจึงควบคุมตัวและทำร้ายเรา เพื่อให้บอกสิ่งที่คิดว่าเราโกหก

          "พวกแกบอกมาเสียดีๆ ว่าครูธัวอยู่ที่ไหน!" ผมไม่เคยลืมเหตุการณ์นั้นได้เลย กับร่างบอบช้ำและลมหายใจอ่อนล้า ผมถูกมัดมือไขว้หลังอยู่กับพื้นภายในอาคารเรียน ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่ควบคุมตัวพวกเรา พวกเขายังคงส่งเสียงเกรี้ยวกราดข่มขู่แม่และพี่ชาย เมื่อคำตอบไม่ได้ดังใจจะเป็นผมที่มักตกเป็นผู้ถูกทำร้ายเสมอ นับเป็นช่วงเวลายาวนานท่ามกลางความทรมานหวาดกลัว และสับสนอย่างแท้จริง
          "พวกแกจะบอกหรือไม่บอก!" พร้อมกับเสียงนั้น ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระแทกผ่านใบหน้าก่อนที่สติจะวูบดับไปอีกครั้ง...
          ในที่สุดเราสามแม่ลูกก็ถูกจับแยกจากกัน หลังจากโดนทำร้ายจนสาหัสผมก็ถูกส่งตัวไปสังหาร... กับก้าวย่างไร้ความรู้สึกนั้น ผมใช้มือข้างหนึ่ง ประคองแขนอีกข้างที่เจ็บจนไม่สามารถขยับได้ ลากสังขารที่แทบไร้แรงตามฅนอื่นๆ ซึ่งถูกต้อนไปอย่างสิ้นหวัง
          "ผมขอไอ้หนูนั่นไปช่วยเลี้ยงวัวได้ไหมครับ" แม้จะได้ยินเสียงนั้น แต่ดูว่าทุกสิ่งจะอยูนอกเหนือความรับรู้ในเวลานี้ ผมยังใช้เรี่ยวแรงที่เหลือลากเท้าไปตามทาง ทั้งยังคงสับสนแม้เมื่อถูกนำตัวออกมาแล้ว ตอนนั้นไม่รู้เด้วยซ้ำว่า ผมควรจะดีใจไหม

          ลมร้อนพัดฝุ่นฟุ้งกระจายในบางครั้ง ผมหันมองรอยยิ้มใจดีบนใบหน้าเหี่ยวย่นนั้น ไม่ว่าอย่างไรลุงเมาก็ยังทำให้ผมยิ้มได้ แม้ความรู้สึกต่างๆ จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตามที... ตั้งแต่จำความได้ผมก็เห็นลุงเมาอยู่ตัวฅนเดียวมาตลอด แกใจดีกับเด็กทุกฅนเสมอ และหลังจากพาผมมารักษาตัวจนหายดีแล้ว ลุงเมาก็ให้ผมช่วยแกเลี้ยงวัวควายนับแต่นั้นมา

          "ทำไมพวกเขาถึงเกลียดฅนมีความรู้ เกลียดฅนมีวิชา" ผมอดถามสิ่งที่สงสัยไม่ได้ ลุงเมายกมือปิดปากผมด้วยท่าทีหวดกลัวพลางจ้องหน้า
          "อย่าเที่ยวไปถามใครแบบนี้นะรู้มั้ย" แกบอกเพียงเท่านั้นก่อนเบือนหน้าสู่ท้องทุ่ง ทอดตามองฝูงวัวและเหล่าเด็กที่ทำงานกลางแดด ผมไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเจ้าของแววตาหม่นมัวคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่

          ชีวิตคืออะไร คือทุกข์ยาก สับสน และความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างนั้นหรือ เหมือนว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง ที่ผมยังสนุกกับการวิ่งเล่นหาปูหาปลากับพี่ชายและเพื่อนๆ ในท้องทุ่งแห่งนี้อยู่เลย แล้วจู่ๆ ความสุขวัยเยาว์นั้นกลับทิ้งช่วงลงอย่างฉับพลัน เกินกว่าจะทันได้รู้ตัว สี่ปีแล้วกับความสิ้นหวังหวาดกลัว ภายใต้กลิ่นไอชั่วร้ายที่แผ่กระจายไปทั่วแผ่นดินขแมร์ ความหวังหนึ่งเดียวของผมคือการได้เจอหน้าครอบครัว ได้เจอพ่อ แม้จะดูเลือนลางเต็มทีก็ตาม ผมวาดนิ้วไปบนผืนทราย ขีดเขียนอักษรกอกาไปตามประสา นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ยามคิดถึงพ่อแบบนี้

          ท่ามกลางสายลมหยุดนิ่ง อากาศอบอ้าวร้อนระอุนั้น เสียงปืนเสียงสู้รบที่ดังแต่เช้าดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ผมไม่เคยได้ยินเสียงสู้รบน่ากลัวแบบนี้นานมากแล้ว นับจากวันที่อยู่ภายใต้การปกครองของอ็องการ์ การอยู่ฅนเดียวแบบนี้ก็ทำให้อดผวาไม่ได้ในบางครั้ง หากลุงเมาอยู่ด้วยก็คงจะดี ไม่รู้ว่าแกหายไปไหนแต่เช้า ได้แต่คิดว่าอีกสักครู่แกก็คงจะกลับมาพร้อมกับกระบอกน้ำนั่นแหละ ผมหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แผ่นดินสั่นสะเทือนตามเสียงกัมปนาทขณะที่ผมได้แต่ขดตัวนิ่งอยู่โคนไม้ อยากผละจากฝูงวัวเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้ เฝ้าแต่ภาวนาให้เสียงสู้รบเบาบางลงบ้างเท่านั้น
          แว่วเสียงฅนเดินเข้ามา ผมรีบหันหน้าเข้าหาทันที
          "ลุง!" ผมร้องออกไปพร้อมกับฉีกยิ้มรับขณะที่ลุงเมาทรุดร่างลง เสื้อผ้าชุดดำเก่าคร่ำที่ห่อหุ้มร่างชรานั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
          "ลุงเป็นไร" ผมร้องถามพลางเข้าหาและพยายามประคองแกขึ้นมา
          "หนีไป" เป็นคำแรกที่แกบอกขณะพยายามแกะมือผมออก
          "ทำไม" ผมถามทั้งน้ำตา
          "พวกเวียดนามบุกมาแล้ว ที่นี่กำลังจะแตก รีบหนีไป"

          'พวกเวียดนามนั้นชั่วร้ายที่สุดจำไว้'

          ผมนึกถึงคำพูดที่ย้ำเตือนพวกเราเสมอในที่ประชุม

          "ชาวบ้านหลายฅนไปกันแล้ว รีบตามพวกเขาไป" ลุงเมาพูดพลางค่อยๆ หลับตาลง ผมได้แต่จ้องมองใบหน้าเหี่ยวย่นเหยเกพยายามข่มความเจ็บปวดนั้นนิ่งนาน ผ่านสายตาที่พร่าด้วยหยาดน้ำ รู้ว่าหากผมหันหลังไป นั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าชายชราฅนนี้
          "ไปสิ ไปตามหาพ่อเอ็ง" แกร้องบอกโดยไม่ลืมตา และยังคงพยายามผลักให้ออก ผมลุกขึ้น หากยังนิ่งมองภาพตรงหน้าอยู่ชั่วขณะ ก่อนหันหลังกลั้นใจวิ่งออกมาในที่สุด เสียงระเบิดเสียงปืนต่างๆ ยังคงดังลั่น ผมหลับหูหลับตาวิ่งโดยไม่สนใจอะไร ความอัดอั้นทั้งหมดถูกระบายออกมาจากทุกฝีเท้าและหยาดน้ำตาที่ไหล ไม่อยากคิดเลยว่าลุงเมาต้องบาดเจ็บเพราะมารับผมแทนที่จะรีบหนีไป

          ผมไม่เจอชาวบ้าน ไม่เจอใครที่ลุงเมาว่า จึงได้แต่เลาะริมทางมาฅนเดียวเรื่อยๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเดินบนเส้นทาง ค่ำไหนนอนนั่น หาขุดมันสำปะหลังกินทั้งดิบ และอะไรที่กินได้ประทังหิวมาตลอดทาง

          เมื่อถึงแตรงผมก็ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสี่ปี วัดร้างไม่มีพระ ไม่มีทหารอเมริกาในวันนี้ จะเห็นมีก็แต่ทหารเวียดนามที่ผมเคยหวาดกลัว เมื่อไม่เจอพ่อที่นี่ผมก็ต้องร่วมขบวนไปกับชาวบ้านและทหารพวกนั้น ท่ามกลางเศษซากสงครามซึ่งเห็นได้ตลอดทาง ถนนลาดยางกลายเป็นหลุมบ่อ หมู่บ้านร้างและซากศพส่งกลิ่นโชยซึ่งพบเห็นได้เป็นบางครั้ง ไฟสงครามนั้นแผดเผาไปทั้งแผ่นดินจริงๆ ผมเริ่มท้อแท้ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากความหวังว่าจะได้เจอพ่อเท่านั้น แต่ทว่า...

          'พ่อเอ็งตายแล้วล่ะลูกเอ๊ย'

          ความหวังทั้งมวลของผมสูญสิ้นไปกับคำบอกเล่านั้น...

          เมื่อหอบความลำเค็ญเร่ร่อนมาถึงสะเดาผมก็ได้พบกับแก ป้าเมี้ยน แกรู้จักครอบครัวผมดี เราหนีมาด้วยกันในวันที่ผมต้องพลัดพรากจากพ่อ แกเล่าให้ฟังว่าเมื่อรัฐบาลสาธารณะรัฐพ่ายแพ้ พ่อก็ต้องหนีไปเรื่อย แต่ไม่หยุดที่จะสอนเด็ก...

          'สำคัญที่สุดของฅน คือการมีวิชาความรู้'

         ผมอดนึกถึงคำสอนของพ่อไม่ได้ ป้าเมี้ยนยังบอกอีกว่าพ่อมาเป็นครูอยู่ที่สะเดาได้พักหนึ่งก็หนีไปสะนึง และโดนจับได้ที่นั่นก่อนถูกนำตัวไปพนมซ็อมโปว*** ที่ซึ่งไม่มีใครเมื่อถูกจับไปแล้วจะได้กลับมา ไม่ว่าเป็นหรือตาย
          ผมยังคงนิ่งงันกับคำตอบที่ได้รับ ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาโดยไม่คิดฝืน ป้าเมี้ยนเอื้อมมือมาลูบหัวและลูบคลำแขนข้างลีบเล็กของผม
          "แล้วแม่กับพี่เอ็งล่ะ" แกถามเบาๆ ผมได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ หลังถูกแยกจากกันผมก็ไม่ได้ข่าวของพวกเขาอีกเลย สงครามนั้นช่างโหดร้ายยิ่งนัก มันพรากทุกฅนและทุกสิ่งไปจากผมจนหมด ทิ้งไว้เพียงร่างพิการนี่เท่านั้น
          ขณะที่ผมยังคงนั่งก้มหน้า ป้าเมี้ยนก็ดึงตัวเข้าไปกอด ผมเงยหน้ามองและได้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากของพ่อหรือลุงเมานั่นเลย
          "อยู่นี่แหละไม่ต้องไปไหนแล้ว มาเป็นลูกแม่ก็ได้" ผมรู้สึกถึงก้อนสะอึ้นที่จุกคอกับคำพูดนั้น รับรู้ได้ว่าอย่างน้อย ความรักและน้ำใจนั้นยังคงหาได้ท่ามกลางสงคราม

          แม้ว่าสงครามจะแค่เปลี่ยนรูบแบบและยังไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด แต่วันนี้ท้องฟ้าก็ดูสดใส ผมออกจากบ้านแต่เช้า วิ่งเล่นหยอกล้อไปกับเพื่อนๆ และคุยกันเสียงดังตลอดทาง พวกเราหยุดยืนและแหงนมองป้ายหน้าประตูทางเข้า
          "โรงเรียน... อะไรต่อวะข้าอ่านได้แค่นี้แหละ" เด็กฅนหนึ่งทำท่าอวดเพื่อนๆ
          "ไอ้บ้า เอ็งเดาเอา ป้ายโรงเรียนก็ต้องเขียนว่าโรงเรียนสิวะ" เด็กอีกฅนค้านเสียงดัง เจ้าฅนอ่านทำหน้าเด๋อด๋าเมื่อพรรคพวกพากันหัวเราะใส่
          "ช่างมันเถอะ เดี๋ยวนักครูก็สอนเราเองแหละ" ผมบอกกับพวกเขาก่อนก้าวไปกับรอยยิ้ม...

          'สำคัญที่สุดของความเป็นฅน ก็คือการมีวิชาความรู้ จำไว้นะลูก'

          เป็นครั้งแรกที่ผมนึกถึงคำสอนของพ่อแล้วยิ้มได้

          "ครับพ่อ โตขึ้นผมจะเป็นนักครูเหมือนพ่อ"
          ไม่ว่าพ่อจะรับรู้ได้หรือไม่ก็ตาม หากผมยังคงยืนยันในคำสัญญา.

หมายเหตุ: ดัดแปลงจากเค้าโครเรื่องจริง
*****************************************

* พระตะบอง (Battambang)
**อ็องการ์คำเต็มคือ อ็องการ์ปเดะว็อต (องค์การปฏิวัติ) ชื่อที่เขมรแดงใช้เรียกตัวเอง
***เขาสำเภา (Phnom sampov) ถ้ำสังหารแห่งบัตด็อมบอง