ผมมีความเชื่อว่านิทานคือต้นแบบของความบันเทิงทั้งหลายแหล่ในปัจจุบัน และถ้าหากนิทานคือต้นแบบของความบันเทิงแล้วล่ะก็ บ้านของผมนั้นต้องเรียกได้ว่าเป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนของเด็กสมัยนั้นเลยที่เดียว
ในสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นนอกจากงานวัดงานโรงเรียนกับงานบุญเข้าพรรษาวันพระอะไรนั่นแล้วก็แทบไม่มีความบันเทิงอื่นสำหรับเด็กๆ อย่างเราอีก ไม่ต้องพูดถึงทีวีเพราะเราไม่รู้จัก นอกจากวิทยุทรานซิสเตอร์เอเอ็มแล้วก็ไม่มีอะไรอื่น นิทานจึงยังคงเป็นที่นิยมเล่านิยมฟังกันในหมู่ลูกหลานบ้านใกล้เรือนเคียง ความที่พ่อของผมชอบเล่านิทาน ผมจึงได้ฟังนิทานมาตั้งแต่ยังเล็ก และนั่นทำให้บ้านของผมกลายเป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำของเด็กในวัยเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันอย่างที่บอก
ยามค่ำคืนเด็กๆ ในหมู่บ้านซึ่งต่างก็เป็นญาติๆ กันนั่นแหละ จะหอบผ้าห่มหอบหมอนมานอนที่บ้านผมเพื่อฟังนิทานกัน บ้านของผมจึงดูครึกครื้นเสียทุกคืนสมเป็นแหล่งบังเทิงจริงๆ ซึ่งนิทานของพ่อผมก็จะมีหลากหลายแนวมาก มีทั้งนิทานพื้นบ้าน วรรณคดี และทะลึ่งตลกโปกฮาในแบบลูกทุ่งขนานแท้ ว่าไปแล้วนี่ผมว่าลองฟังนิทานของพ่อผมกันสักหน่อยน่าจะดี ฟังกันเลยดีกว่าครับ...
กระต่ายกับหอยโข่ง
นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่ได้รับวัฒนธรรมมาจากกัมปุเจีย ประเทศเพื่อนบ้านของเรามาลองติดตามกันครับ
กระต่ายตัวหนึ่ง (พ่อของผมไม่เคยขึ้นต้นด้วยคำว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว) มันภูมิใจในความว่องไวปราดเปรียวของมันมาก วันหนึ่งขณะที่มันอยู่ที่ริมหนองน้ำ มันก็ได้เห็นหอยโข่ง มันหัวเราะเยาะในความอัปลักษ์และความเชื่องช้าของหอยโข่งตัวนั้น ส่วนหอยโข่งเมื่อโดนหัวเราะเยาะก็เกิดความอับอายมันจึงร้องท้าไปว่า
"เจ้าคิดว่าตัวเจ้าปราดเปรียวว่องไวนักหรือ เรามาลองวิ่งแข่งกันไหม"
กระต่ายได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะเยาะพลางพูดว่า... "เจ้าน่ะหรือจะวิ่งแข่งกับข้า"
เจ้าหอยโข่งตอบว่า... "ข้านี่แหละเจ้ากล้าหรือเปล่าล่ะ"
"กล้าซิว่าแต่เราจะแข่งกันอย่างไรล่ะ" เจ้ากระต่ายถาม หอยโข่งตอบว่า
"พรุ่งนี้เราจะมาเจอกันที่นี่ และวิ่งแข่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าใครถึงก่อนเป็นผู้ชนะ และผู้ชนะจะขอสิ่งใดก็ได้" เจ้ากระต่ายตอบตกลง
และคืนนั้นเจ้าหอยโข่งก็เรียกพวกพ้องมาประชุมกันเป็นการด่วน พวกมันวางแผนที่จะสั่งสอนเจ้ากระต่ายจอมโอหัง โดยมันจะให้หอยโข่งหลายตัวทยอยเดินทางล่วงหน้าไปเป็นระยะ และจะมีหอยโข่งตัวหนึ่งไปรอที่ต้นไม้ใหญ่อยู่ก่อนแล้ว และรุ่งเช้ากระต่ายกับหอยโข่งก็มาเจอกันตามที่นัดหมาย และเมื่อออกวิ่งกระต่ายก็นำลิ่ว วิ่งมาสักพักมันก็ร้องเรียกหอยโข่งแต่ทุกครั้งที่มันร้องเรียกก็จะมีเสียงตอบรับมาจากด้านหน้าของมันเสมอ เพราะหอยโข่งตัวที่อยู่เหนือกระต่ายขึ้นไปจะเป็นตัวที่คอยตอบรับนั่นเอง เจ้ากระต่ายรีบเร่งฝีเท้า และเมื่อมันมาถึงต้นไม้ใหญ่ก็เจอหอยโข่งตัวที่รออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว กระต่ายยอมแพ้และทำตามสัญญา หอยโข่งไม่ขออะไรมาก มันขอเพียงได้เลียใบหูของกระต่าย กระต่ายถูกหอยโข่งเลียจนมันมีใบหูที่บางมาจนทุกวันนี้
สี่สหาย
อีกเรื่องที่มาในแบบลูกทุ่งขนานแท้ หากใครที่ชอบฟังนิทานและได้ฟังนิทานหลากหลายแล้วจะทราบว่าแนวเรื่องแบบนี้มีอยู่ในนิทานของประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว ขแมร์ หรือแม้แต่ในชนเผ่าม้งก็มีเล่าในแบบคล้ายๆ กันนี้ด้วยเช่นกันครับ ฟังกันเลยดีกว่า
สี่สหายนี้ประกอบไปด้วย นกออก ไก่ เสือ และกระต่าย ทั้งสี่เป็นเพื่อนรักกัน และทั้งหมดได้รับจ้างตากับยายถางไร่ โดยได้ผลัดเวรทำอาหารกันคนละวัน วันแรกเป็นเวรของเสือที่จะต้องอยู่บ้านหาอาหารไว้รอเพื่อน เจ้ากระต่ายอยากรู้ว่าเสือจะทำอะไรให้กิน ก็แกล้งทำเป็นปวดท้องแล้วบอกกับเพื่อว่าจะขอไปถ่ายทุกข์ก่อน แต่จริงๆ แล้วมันมาแอบดูเสือที่บ้านต่างหาก เจ้ากระต่ายเห็นเสือแอบซุ่มจับหมูป่ามาเป็นอาหาร ก็กลับมาหาเพื่อนทั้งสองและบอกว่ามาทายกันดีกว่าว่าเสือจะทำอะไรให้เรากินในมื้อเย็น ใครทายผิดอดกิน ใครทายถูกได้กิน และแน่นอนว่าไม่มีใครทายถูกนอกจากกระต่ายซึ่งตอบว่า แกงหมูป่า
วันต่อมาก็เป็นเวรของนกออก เจ้ากระต่ายก็แสร้งทำเป็นปวดท้องอย่างเดิมและมาแอบดูนกออกอีก เจ้ากระต่ายเห็นนกออกนั่งจับราวสะพาน และพุ่งลงน้ำจับปลาขึ้นมาทำอาหาร กระต่ายก็กลับมาเล่นทายกับเพื่อนอีก และแน่นอนเจ้ากระต่ายก็เป็นฝ่ายทายถูกว่าแกงปลา และได้กินอาหารแต่ผู้เดียว
วันที่สามเป็นเวรของไก่ เจ้ากระต่ายก็มาแอบดูอีก เห็นไก่ติดไฟตั้งกระทะใส่น้ำไว้ แล้วขึ้นไปเกาะที่ปากกระทะ ไก่ร้องกระต๊ากๆ พลางออกไข่ใส่ในกระทะ กระต่ายก็กลับมาทายกับเพื่อนอีกเช่นเคย กระต่ายทายว่าวันนี้จะได้กินไข่ต้ม โดยเพื่อนทั้งสองทายผิดเหมือนเดิม
แล้ววันที่สี่ก็ถึงคราวของกระต่ายที่จะต้องอยู่เฝ้าบ้านเพื่อหาอาหารให้กับเพื่อนทั้งสามบ้าง กระต่ายไม่รู้จะทำอย่างไรจึงลองใช้วิธีของเสือ ไปนั่งซุ่มรอให้หมูป่าผ่านมาแล้วโดดตระครุบตัวไว้ มันโดนหมูป่าสวนกลับแทบเอาชีวิตไม่รอต เจ้ากระต่ายจึงคิดว่าวิธีของนกออกน่าจะดีกว่า มันจึงไปนั่งบนราวสะพาน เมื่อเห็นปลาก็โดดลงน้ำไปหมายจับปลาให้ได้ กระต่ายไม่ได้อะไรนอกจากความเหน็บหนาว มันจึงกลับมาบ้าน ติดไฟตั้งกระทะใส่น้ำ แล้วขึ้นไปนั่งบนปากกระทะ ร้องกระต๊ากๆ พร้อมเบ่งเต็มที่ ได้ผลมีไข่ล่วงลงมาใส่กระทะ แต่มันดูไม่เหมือนไข่เพราะมันจะเป็นก้อนเล็กๆ ดำๆ แต่ถึงอย่างไรเจ้ากระต่ายก็เสร็จสิ้นภาระกิจในการหุงหาอาหารของมัน
ตกเย็นกระต่ายนอนคลุมโปง เมื่อเพื่อนๆ ถามหาอาหารกระต่ายก็บอกว่าได้เตรียมไว้ให้แล้วแต่ให้หากินกันเองเพราะมันเป็นไข้ ไม่สบาย เมื่อเจ้าเสือซดน้ำต้มดังโฮกเจ้ากระต่ายก็แกล้งครางออกมาว่า
"เกลอกิน0ี้0ู" เจ้าเสีอถามว่าครางอะไร เจ้ากระต่ายก็บอกว่าปล่าวไม่สบาย แต่พอเจ้าเสือซดน้ำต้มอีก เจ้ากระต่ายก็ครางอีก
"เกลอกิน0ี้0ู" เจ้าเสือบอกให้กระต่ายหยุดเพราะจะทำให้มันกินอาหารไม่ลง แต่กระต่ายไม่ยอมหยุด จนเจ้าเสือทนไม่ได้โดดตะครุบ แต่กระต่ายหลบทันและออกวิ่งหนีโดยมีเสือวิ่งไล่ตาม
กระต่ายมาถึงต้นเล็บเหยี่ยว (ไม้กึ่งเถา มีหนาม ผลเล็ก รับประทานได้) ก็นั่งเก็บลูกเล็บเหยี่ยวกิน เมื่อเสือวิ่งมาทันเจ้าเสือแปลกใจจึงถามกระต่ายว่าทำอะไร กระต่ายจึงบอกว่าผลไม้นี้อร่อยมากเลย แต่เสียอย่างเดียวที่มันมีมือเล็ก จึงเก็บกินได้ไม่ถนัด หากว่ามันมีมือใหญ่อย่างเสือจะจับรูดเสียทีเดียวเลย เสือจึงบอกว่ามาให้ข้าทำเอง เมื่อเจ้าเสือจับรูดจึงถูกหนามเล็บเหยี่ยวเกียวเต็มมือทั้งสอง เสือโกรธมากจึงวิ่งไล่กระต่ายออกไปอีก
เสือวิ่งไล่กระต่ายมาถึงกอไผ่ก็เห็นกระต่ายนั่งฟันเสียงไผ่สีกันอยู่ กระต่ายบอกเสือว่าอย่าเอ็ดไป เพราะตนกำลังฟังดนตรีทิพย์จากสวรรค์อยู่ ให้เสือมาลองฟังดู เสือจึงเข้าไปลองฟัง กระต่ายบอกว่าหากอยากฟังให้ชัดเจนก็ต้องเอาหูเข้าใกล้กอไผ่ให้มาก แล้วกระต่ายก็วิ่งจากไป เจ้าเสือฟังไม่ถนัดจึงเอาใบหูแนบไปกับกอไผ่ เมื่อถูกต้นไผ่หนีบหูจึงรู้ว่าถูกหลอกอีกครั้ง จึงออกวิ่งตามกระต่ายออกไปอีก
กระต่ายวิ่งหนีเสือจนตกลงไปในบ่อที่มีน้ำแห้งขอด เมื่อเสือตามทันก็หัวเราะชอบใจ เจ้ากระต่ายจึงพูดว่า มัวแต่หัวเราะอยู่นั่นแหละ ไม่รีบมาหลบในบ่อ ฟ้าจะถล่มแล้วยังไม่รู้ตัว เสือแหงนหน้ามองฟ้า เห็นเมฆกำลังลอยตามกระแสลมช่วงหน้าหนาวก็คิดว่าฟ้าจะถล่มจริงดังที่กระต่ายบอก จึงโดดลงไปในบ่อกับกระต่าย
เมื่ออยู่ในบ่อนานเข้าเจ้าเสือก็ทำท่าจะหลับ กระต่ายก็แกล้งแหย่ 0ระโ0ก เสือ เจ้าเสือบอกว่าไม่เอาคนจะนอน แต่พอเสือจะหลับกระต่ายก็แหย่อีก เสือบอกว่าเดี๋ยวทนไม่ไหวก็จะดีดขึ้นไปให้ฟ้าทับตายซะหรอก กระต่ายก็ยิ่งแกล้งกวนไม่ให้เสือได้นอน จนเสือทนไม่ได้ถีบกระต่ายขึ้นมาจากบ่อ กระต่ายจึงวิ่งจากไปในที่สุด
แล้วเรื่องทั้งหมดก็จบลงด้วยประการฉะนี้.