welcome



ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สวัสดีวันงดสูบบุหรี่โลก




          ผมมีความเชื่อผิดๆ อยู่อย่างหนึ่งที่เคยเชื่อว่า เด็กยุคใหม่จะสูบบุหรี่กันน้อยลง

          ใช่ครับมันเป็นความเชื่อที่ผิดแถมโง่บัดซบอีกต่างหาก ผมคิดเพียงว่าเด็กยุคใหม่จะมีความรู้กันมากขึ้น รู้จักแยกแยะอะไรได้มากกว่าคนยุคก่อนที่ไม่รู้ถึงโทษภัยของบุหรี่กันมากนัก... นั่นแหละครับที่ผมคิดผิด


          สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเข้าใจได้แบบนั้นก็คือ ในยุคสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้น คนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่จะสูบบุหรี่กันแทบทุกคน (จากค่านิยมสมัยเก่า) ส่วนด็กๆ นี่จะค่อนข้างแบ่งแยกชัดเจนระหว่างพวกที่สูบกับไม่สูบ เด็กที่สูบบุหรี่ก็จะเป็นเด็กที่ชอบทางนักเลง (อันธพาล) เด็กที่มีปัญหา หรืออะไรที่เป็นไปในทางลบ ส่วนกลุ่มเด็กดี (ไม่ได้บอกว่าเรียบร้อยนะครับ บางคนนี่ทะโมนเลยแต่ไม่ชอบอันธพาล แบบนั้นผมถือเป็นเด็กดีครับ) จะไม่สูบบุหรี่ และแนวโน้มค่อนข้างดีทีเดียวว่าเด็กยุคใหม่จะสูบบุหรีกันน้อยลง... มุมมองสมัยนั้นเด็กที่สูบบุหรี่คือเด็กอันธพาลเกเร...


          ก็ไม่รู้ว่าโลกมันหมุนกลับด้านหรืออย่างไร จากที่เคยมองกันว่าเด็กที่สูบบุหรี่เป็นเด็กเก (เร) เดี๋ยวนี้กลับมองว่าคนที่ไม่ดูดบุหรี่เป็น เกย์ ไปเสียอย่างนั้น จึงทำให้สมัยนี้จะดีหรือจะเกเร หากเป็นเด็กผู้ชายต้องสูบบุหรี่ ซึ่งตรงนี้ก็ยอมรับว่าไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะผมก็ยังเห็นว่า คนที่เป็นเกย์ส่วนใหญ่ก็ดูดบุหรี่นะ

          "การอดบุหรี่ไม่ใช่ของยาก ผมเคยทำได้ ร้อยกว่าครั้งมาแล้ว"


          ข้อความนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครได้กล่าวไว้ ชอบตรงที่มันอธิบายได้เป็นอย่างดีถึงความยากของการเลิกบุหรี่ ผมจึงมักจะบอกเด็กๆ ที่พอจะยอมรับฟังผมเสมอว่าการดูดบุหรี่น่ะมันไม่ยากหรอก ใครๆ ก็ทำกันได้ (ถ้าจะทำ) แต่ที่ยากจริงๆ คือการเลิกเมื่อติดบุหรี่แล้วต่างหาก และผมยังเชื่อว่าคนที่ติดบุหรี่จนถึงระดับหนึ่งนั้นส่วนใหญ่ อยากเลิกแต่ทำไม่ได้


         และตรงนี้คงไม่ใช่ความเชื่อแบบผิดๆ แน่นอนครับ.

วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ซื่อบื้อ


          "เฮ้ย! รีบไปสิวะ ไอ้ซื่อบื้อเอ๊ย!" ท่าทางของเขาคงจะแปลได้ประมาณนั้น ชายผู้นุ่งกางยีนส์กับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน หน้าประตูมินิมาร์ทที่ผมเพิ่งออกมานั่นแหละ เขายืนอยู่ที่นั่น เมื่อผมกวาดสายตาโดยรอบและไปหยุดที่เขา ก็ได้เห็นสีหน้ากับแววตาบ่งบอกถึงความขัดใจนั้น

          ผมว่าเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนะ น่าจะตั้งแต่ที่ผมเดินออกมาจากมินิมาร์ทนั่นแล้ว เขาเดินตามผมออกมาแต่หยุดตรงหน้าประตู เขาแค่มาฆ่าเวลารอลูกค้า ในขณะที่ผมเมื่อเสร็จธุระแล้วก็จะรีบกลับ

          ผมมองจักรยานยนต์ที่จอดระเกะระกะอย่างหัวเสีย แม่งเอ๊ย! มาจอดปิดทางออกกันหมด อดสบถในใจไม่ได้ขณะพยายามเข็นรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าคันเก่งของผมให้พ้นจากบรรดารถที่กีดขวาง

          ผมว่ามันพ้นแล้วนะ แต่ก็มีเสียงดังโครมพร้อมกับรถคันที่อยู่ด้านข้างผมล้มลงไป อะไรสักอย่างจากรถของผมคงไปเกี่ยวมันเข้าสินะ เสียเงินอีกแล้วกู ผมคิดในใจ แต่ที่แน่ๆ เจ้าของรถคันนั้นจะต้องหัวเสียบ้างไม่มากก็น้อย

          ไม่รอช้า ผมรีบจับรถคันนั้นตั้งขึ้นพร้อมกับเตรียมคำขอโทษ ก็แค่ยอมรับผิด ผมมักบอกตัวเองแบบนั้นเสมอเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผมมองไปรอบๆ ก่อนสอดสายตาเข้าไปในมินิมาร์ท เพราะคิดว่าเจ้าของรถคันที่ผมเพิ่งจับตั้งคงอยู่ในนั้น อาจจะเป็นคู่ฝรั่งกับเมียคนไทยนั่นก็ได้ แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดกับเขาเข้าพอดี

          'เฮ้ย! รีบไปสิวะ ไอ้ซื่อบื้อเอ๊ย!'

          ใช่! ท่าทางบุ้ยใบ้ของเขามันแปลได้แบบนั้นแหละ

          กับหลายความรู้สึกปนเปกันไป ผมขับรถออกมาโดยไม่ได้ขอบคุณเขาเลยด้วยซ้ำ เขามีน้ำใจช่วยสอนให้ผมรู้จักเอาตัวรอด หรือมีน้ำใจช่วยสอนให้ผมรู้จักเห็นแก่ตัว หรือเป็นเพราะผมไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจสังคม หรือสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของผมมันเสื่อมไปแล้ว หรือไม่... ผมก็คงซื่อบื้อจริงๆ นั่นแหละ.

วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เรื่องสั้นของผมชื่อ 'อาเย้ง'



          เอาเข้าจริงผมว่าเชียงใหม่นั้นไม่ได้มีอะไรใหม่สำหรับผมเลย แม้จะเป็นการได้เยือนครั้งแรก (แบบไม่ตั้งใจ) ก็ตามที แต่ที่พูดมาคงต้องบอกว่าหากไม่มียอดดอยและชนเผ่าต่างๆ นั่นล่ะก็นะ

          หลังจากความตั้งใจของการถ่ายภาพแสงแรกแห่งปีหมดไปกับเช้าที่ดูอับเฉานั้น
          "ไปม่อนแจ่มไหม เจ็ดร้อยเมตรเองเดินสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว" ผมมองไปยังป้ายชี้ทางข้างรีสอร์ตพลางหันกลับมาถามลูกพี่ (ผู้ทำให้ผมได้มาที่นี่) ซึ่งดูเหมือนจะตื่นเพื่อมองหาแสงแรกเช่นกันกับผม ขณะที่ฅนอื่นยังคงหลับสบายในที่พัก รวมถึงลูกชายของเขาซึ่งคงจะลืมเรื่องที่ได้ตกลงกันไว้อย่างดิบดีตั้งแต่มาถึง ว่าเราจะออกสำรวจเส้นทางในเช้าวันนี้กัน และถึงแม้จะรู้ว่าสายหน่อยเราก็จะได้นั่งรถตู้ไปที่นั่นกันอยู่แล้ว แต่การได้เดินเท้าดูจะเป็นกิจกรรมซึ่งผมชื่นชอบมากกว่า อีกอย่างถึงอยู่นี่ก็ไม่ได้ถ่ายภาพหรือไม่มีอะไรให้ทำอยู่ดี ระยะทางก็ใช่ว่าจะไกลอะไรนักด้วย น่าจะใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีอย่างที่บอก เพียงแต่ผมลืมไปว่ามันเป็นเส้นทางไต่ระดับขึ้นสู่ยอดดอยเท่านั้น


          วันนี้ อาเย้ง หรือ ชัย เด็กชายตัวเล็กๆ ในหมู่บ้านบริเวณยอดดอยแห่งนี้ยังคงตื่นเช้าเช่นทุกวัน เขาหยิบชุดประจำเผ่าที่แม้จะไม่ได้ตัดเย็บจากผ้าทอมือเหมือนชุดที่พ่อของเขามี การประดับตบแต่งก็ดูจะไม่ละเอียดลออเท่าด้วย แต่เมื่อนำมาสวมทับชุดที่ใส่อยู่เดิมมันก็ทำให้เขาดูเป็นม้งได้อย่างเต็มความภาคภูมิใจทีเดียว หากเด็กชายคงได้ใช้มันแค่ชวงเวลานี้เท่านั้น เย้งมองตัวเองในกระจกพลางคิดว่าเขาก็มีส่วนคล้ายพ่ออยู่มากเหมือนกัน แต่คงเป็นตอนที่พ่อจะไม่เมามายนั่นหรอกนะ และเมื่อพร้อมแล้วเขาก็ก้าวเท้าฝ่าสายหมอกขึ้นสู่ยอดดอย ตอนนี้เด็กๆ หลายฅนก็คงจะพร้อมในชุดม้งแล้วเช่นกัน รวมถึงไอ้จาคู่หูของเขาด้วย


          ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่ามันต้องใช้เวลามากกว่าสิบห้านาทีแน่นอน เราได้เหงื่อกันพอสมควรกับการเดินขึ้นดอยยามเช้าแบบนี้ อีกสิ่งที่เพิ่งได้รู้ก็คือ ยิ่งสายแสงตะวันอันน้อยนิดก็ยิ่งจางหาย และสลายไปกับหมอกขาวรอบกาย หลังจากเลี้ยวผิดเลี้ยวถูกตามเส้นทางบนยอดดอยกันสักพักเราก็มาถึงจุดชมวิวของม่อนแจ่มจนได้


          ดอกไม้ยังคงสวยงามกลางม่านหมอก แม้จะดูบอบช้ำจากการแวะเวียนมาของนักท่องเที่ยวบ้างก็ตาม หากแต่อาเย้งคงไม่ได้สนใจอะไรสักเท่าไร นอกจากม้านั่งเตี้ยๆ ข้างกอไม้ที่ดูเหี่ยวเฉาซึ่งจานั่งอยู่ก่อนแล้วเมื่อเขามาถึง เย้งนั่งลงเงียบๆ ข้างคู่หูที่หันมาพยักหน้าทักทาย และหน้าที่ในตอนนี้ของทั้งสองก็แค่รอ


          ม่อนแจ่มสวยไหม ไม่รู้สินะ ก็อาจจะสวย มีไม้ดอกเมืองหนาว แปลกๆ สวยๆ เยอะทีเดียว แต่ไม่มากไปกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ดูเหมือนจะต้องเข้าคิวกันเลยหากอยากได้ภาพคู่กับดอกไม้สวยๆ สักภาพ วิวสวยไหม หากถามนักท่องเที่ยวรอบตัวนี่ผมไม่รู้ว่าเขาจะตอบว่าอย่างไรกันบ้างนะ เพราะที่เห็นแต่ละฅนล้วนชมวิวรอบกายผ่านจอมือถือกันแทบทั้งนั้น แน่นอนว่ามันรวมถึงผมด้วยเช่นกัน
         ครอบครัวนักท่องเที่ยวในชุดม้งนั่น พ่อและแม่กำลังผลัดกันถ่ายภาพกับลูกชายสองฅน มันเรียกความสนใจจากผมได้ดีทีเดียว บางทีผมน่าจะหาชุดม้งมาใส่บ้าง คิดว่าต้องมีให้เช่าแน่นอน
          ผมหาชุดใส่จนได้ มันเข้ากับสภาพของผมเป็นอย่างดีทีเดียว (ไม่เชื่อดูภาพประกอบ) หลังจากเดินหามุมถ่ายภาพได้สักพักผมก็วนกลับมาที่เดิม เด็กชายในชุดม้งนั้นยังนั่งอยู่ที่เก่า ขณะที่พ่อแม่และพี่หรือน้องชายของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เขาดูเหมือนเด็กม้งจริงๆ เลย ผมคิดแบบนั้น หากคราบมอมแมมบนใบหน้านั้นทำให้ผมเข้าใจได้ เขาก็คือเด็กม้งที่จะมานั่งรอถ่ายภาพกับนักท่องเที่ยวนั่นเอง
         "ขอถ่ายภาพด้วยนะ คิดเท่าไร" ผมถาม
         "แล้วแต่จะให้ครับ" เขาตอบเรียบๆ ผมนั่งลงข้างเขา ยกมือโอบไหล่ เขายกมือชูนิ้วโป้งเมื่อลูกพี่ของผมยกสมาร์ทโฟนเล็งมาที่เรา มันคงเป็นท่าประจำตัวในการถ่ายภาพของเขา ผมคิดในใจ อยากชูสองนิ้วสู้ตายแข่งบ้างเหมือนกัน หากว่าจะทนความทุเรศของตัวเองได้ล่ะก็นะ

          หลังจากกลับที่พักผมก็ได้นั่งรถขึ้นจุดชมวิวนั้นอีกครั้ง เมื่อจัดการกับขนมจีนน้ำเงี้ยวจากร้านอาหารร้านเดียวบนนั้นเสร็จผมก็เดินชมวิวชมหมอก (มัว) กันต่อ ตอนนี้จะเห็นว่ามีเด็กม้งหลายฅนเลยมานั่งรอให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ และแต่ละฅนก็จะมีมาดฮาๆ กวนๆ หน้ากล้องตามประสาเด็กของเขาแตกต่างกันไป ผมเดินถ่ายรูปพวกเขาสลับกับดอกไม้ที่เบ่งบานรอให้เราบันทึกภาพ ท่ามกลางสภาพที่ยิ่งมัวหม่นในทุกขณะด้วยเช่นกัน ชักไม่แน่ใจแล้วว่าไอ้ละอองฝอยที่สัมผัสผิวกายและหน้าจอมือถือตอนนี้มันคือหมอก หรือว่าฝน
          ข้างกอไม้ที่ดูเหี่ยวเฉา เขายังคงอยู่ตรงนั้นเมื่อผมวนมาจุดเดิมอีกครั้ง นั่งเงียบอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้ฅนรายล้อม มีนักท่องเที่ยวนั่งอยู่ข้างเขา แต่ก็มองออกว่าหญิงฅนนั้นแค่พักเหนื่อย และปลดปล่อยเขาจากความสนใจไปแล้ว
          ขณะรถแล่นลงดอยผมก็เปิดภาพในโทรศัพท์ดูไปเรื่อยเปื่อย กลับสะดุดตาจนต้องขยายออกมา ใบหน้ามอมแมมกับริมฝีปากที่เหมือนฉีกยิ้มนั้น หากแววตาที่ฉายกลับดูว่าจะไม่ได้แสดงออกอย่างที่เจ้าตัวต้องการ ทุกภาพของเขาไม่ต่างกัน


          ยังคงไร้ซึ่งแสงตะวัน รอบกายยังคงหม่นมัว เด็กชายลากเท้ากลับที่พัก วันนี้โชคอาจไม่ดีนัก เขาทะเลาะกับเพื่อนแต่เช้า เลยต้องนั่งอยู่เพียงลำพัง จึงไม่เป็นจุดสนใจสักเท่าไร นักท่องเที่ยวที่ยืนบังวิวด้านหลังและฅนซึ่งมานั่งข้างแค่พักเหนื่อยนั่นด้วย พวกเขาเหล่านั้นคงไม่รู้หรอกว่า มันทำให้รายได้ของเด็กม้งฅนหนึ่งต้องลดลง แต่ก็นั่นแหละ ถึงอย่างไรคงไม่มีความสำคัญอะไรนักหรอก บะไกรำพึงในใจ เขาอาจแค่โดนด่าว่านิดหน่อย และไม่ว่ารายได้จะดีหรือไม่ดีอย่างไรก็ตาม เงินทั้งหมดที่หาได้นั้นล้วนต้องตกเป็นของพ่อซึ่งตอนนี้อาจยังไม่ลุกจากที่นอน หากเขากับพ่อก็มีกันและกันเพียงสองฅนเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาคงต้องเชื่อฟังคำดุด่าของพ่ออยู่ดี เด็กชายคิดขณะเดินฝ่าสายฝนที่เริ่มทะลุม่านหมอกลงมากับความหนาวเย็นนั้น


          ผมมองผ่านกระจกสู่ม่านมัวจากละอองฝนขณะรถยังคงแล่นไป คิดถึงเรื่องราวที่จะเอามาขีดเขียน บางทีเรื่องสั้นของผมอาจมีชื่อเรื่องว่า 'อาเย้ง' และอาจจะเปิดด้วยคำว่า 'วันนี้ อาเย้ง หรือ ชัย เด็กชายตัวเล็กๆ ในหมู่บ้านบริเวณยอดดอยแห่งนี้ยังคงตื่นเช้าเช่นทุกวัน' หรือไม่ก็ 'เอาเข้าจริงผมว่าเชียงใหม่นั้นไม่ได้มีอะไรใหม่สำหรับผมเลย'

เธอกับฉัน


          เธอกับฉัน เราพบกันโดยบังเอิญที่ร้านกาแฟหน้าอำเภอ เธอยิ้มรับอย่างเสียไม่ได้ก่อนทอดสายตาสู่เบื้องหน้าดุจเดิม

          "เปล่า มารอพี่เขา" เธอตอบโดยไม่ได้หันมองด้วยซ้ำ  บนโต๊ะตัวนั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากเวลาซึ่งค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างแผ่วเบา
          "กาแฟหน่อยไหม เธอชอบอะไรล่ะ ลาเต้ รึมอคค่า" ฉันถาม
          "กินเถอะ กินไม่เป็นหรอก" เธอยังคงใช้สำเนียงเรียบห้วนและไม่มองฉันแม้แต่หางตาเหมือนเคย ฉันหย่อนกายกับโต๊ะซึ่งไม่ห่างกันนัก หลังสั่งกาแฟก็หยิบมือถือมาเปิดเฟซบุ๊ก เช็กอิน ร้านกาแฟหน้าอำเภอ ก่อนทักทายเพื่อนๆ

          เธอยังคงนั่งนิ่งกับเวลาที่ว่างเปล่า ฉันอดที่จะชำเลืองมองเสียไม่ได้ในบางขณะ นานแล้วที่เราห่างกัน หากเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ทั้งความงามและการแต่งกายที่เรียบง่ายสมความเป็นกุลสตรี

          เส้นทางของแต่ละคนนั้นต่างกันนัก เธอมีครอบครัวได้สามีมีหน้ามีตา ส่วนฉันถึงจะมีลูกชายหญิงแล้วแต่ยังคงใช้ชีวิตตามคืนวัน หลายคนที่ผ่านเข้ามาก็เพียงเพื่อรอเวลาที่จะผ่านไปเสียเท่านั้น

          บนอำเภอคงจะเลิกประชุมกันแล้วสินะ สามีของเธอในชุดสีกากีเดินมายังรถซึ่งจอดอยู่ข้างสนาม เธอจากไปเงียบเชียบดุจความเคลื่อนไหวของเวลา ฉันมองตามกับความรู้สึกสงสารซึ่งไม่ได้เสแสร้ง หากแต่รู้ดีว่าเธอน่าสงสาร ถึงจะได้สามีร่ำรวยมีหน้ามีตา แต่จะมีประโยชน์อะไรหากเธอไม่ได้มีค่ามากไปกว่าแม่ของลูกเพียงเท่านั้น

          วันนี้หากไม่มีธุระเธอคงไม่ได้นั่งรถมากับเขาหรอก สามีผู้ใหญ่บ้านที่เจ้าระเบียบสมชื่อของเธอ ฉันไม่แปลกใจเรื่องชุดที่เธอใส่ แม้มันจะดูไม่สมวัยเอาเสียเลย ฉันรู้ว่าเธอแทบไมีมีสิทธ์ที่จะคิดอะไรเองด้วยซ้ำ เธอผู้เปรียบได้ดั่งทาสในเรือนเบี้ย เพราะแม้แต่ห้องน้ำ เธอยังต้องแยกกันใช้กับสามี... 

          ไม่ต้องห่วงหรอกนะผู้ชายคนนี้ ฉันไม่มีวันที่จะทวงคืนจากเธอหรอก น้องสาวที่น่าสงสารของฉัน.

ลอยเรือ



          จังหวัดเล็กๆ สุดชายแดนตะวันออกของไทย บ้านเกิดที่ผมเพิ่งได้กลับมาเยือน... เสียงประทัดดังอยู่เป็นระยะ ถึงจะโดนด่า โดนว่ากันทุกปี แต่ก็ไม่เคยห้ามเด็กพวกนี้ได้สักที เสียงประทัดกับเด็กๆ ในวันออกพรรษาแบบนี้ จึงเป็นของคู่กันมาตลอด วันนี้ฅนเยอะเหมือนทุกปี ภาพชาวบ้านหิ้วปิ่นโต หิ้วกระเช้าใส่ข้าวต้มมัด บ้างมีกล้วย อ้อย มะลอกอ หรือแม้แต่มะพร้าวอ่อนพะรุงพะรังก็ยังเป็นภาพที่เห็นกันได้ในทุกปีเช่นกัน

          ผมเดินเก็บภาพบรรยากาศของวันนี้ไปเรื่อยกับมือถือคู่ใจนั่นแหละทั้งภาพนิ่งและวีดีโอ ภาพอาจจะไม่สวยเหมือนกล้องจริงนัก แต่ก็เพียงพอกับการนำไปใส่บล็อก หรืออวดเพื่อนในสังคมออนไลน์ของผมได้แล้ว

          เสียงพระสวดมนต์ดังจากศาลาในขณะที่ผมยังเดินถ่ายภาพอยู่ด้านนอก เห็นเด็กๆ เล่นสนุกแล้วทำให้อดยิ้มและนึกย้อนไปยังคืนวันเเก่าๆ ไม่ได้ ถึงวันนี้อะไรๆ จะแตกต่างจากเดิมไปมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังดีที่ยังมีวันนี้ให้ได้ย้อนรำลึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ กัน

          เรือที่ทำขึ้นง่ายๆ ตามวัสดุที่หาได้สามลำจอดอยู่หน้าวัด มันคือจุดประสงค์หลักในการมาบันทึกภาพของผมในครั้งนี้...
          ประเพณีลอยเรือ นับเป็นประเพณีที่มีเหลืออยู่น้อยมากแล้วตามวัดต่างๆ ในแถบนี้

          "วันนี้เป็นวันปล่อยผี" คำบอกเล่าเก่าๆ ย้อนมาในความทรงจำ

          "พวกผีต่างๆ จะออกมามากมายในวันนี้ ทั้งมีญาติ และไม่มีญาติ"

          ผมเริ่มถ่ายภาพชาวบ้านนำข้าวของต่างๆ มาใส่ในลำเรือ ถ่ายมั่วๆ ไว้ก่อน แต่ก็พยายามที่จะจัดมุมบ้างนิดหน่อย กล้วย อ้อยขนมถูกนำมาใส่ บางฅนก็มีค่าลากเรือให้กับผู้ที่ยืนรอลากซึ่งจิบเหล้าไปพลางส่งเสียงเชิญชวน
          "นี่มึงแบ๊งค์ร้อยนะมึง แย่งกันเองนะ" ป้าจิตรหยิบแบ๊งค์ร้อยชูให้เด็กที่ยืนล้อมดูก่อนพับใส่ในกล่องไม้ขีดไฟวางไว้ปนไปกับสิ่งของต่างๆ ในลำเรือ พวกเด็กๆ หันมองหน้าแล้วฉีกยิ้มให้กัน... ผมต้องรีบไปถ่ายภาพการตักบาตรอาหารแห้งก่อนที่จะมาถ่ายภาพพิธีลอยเรือต่ออีก วุ่นวายกันพอควรทีเดียวกับพิธีที่มีขึ้นพร้อมๆ กันแบบนี้

          เมื่อฅนเฒ่าฅนแก่นำสวดมนต์ตั้งจิตอธิษฐานเสร็จ เรือจำลองสามลำก็ถูกลากออกไปอย่างรวดเร็ว ข้าวของที่วางล้นลำเรือ บ้างหกหล่นลงมาให้พวกเด็กๆ ได้วิ่งแย่งเก็บกันเฮฮา

          ความรู้สึกเก่าๆ มันย้อนกลับมาอย่างช่วยไม่ได้ เกิดนึกอยากเล่นสนุกเหมือนตอนเป็นเด็กขึ้นมา ผมมองข้าวต้มมัดร่วงหล่นท่ามกลางผู้ฅนที่วิ่งชิงกันพลางเก็บโทรศัพท์ ก่อนออกวิ่งแย่งชิงกับพวกชาวบ้านและเด็กๆ

          "ของที่อยู่ในเรือน่ะ เขาเอาไว้ให้ภูติผีได้แย่งกัน"

          ผมคว้าข้าวต้มมัดที่อยู่กับพื้น พร้อมๆ กับที่ใครฅนหนึ่งมาฉวยมันได้พร้อมกัน โดยมือเขานั้นกุมมือผมอยู่
          "ผมได้ก่อนนะ" ผมร้องบอกแต่มือนั้นยังคงกุมแน่น ให้ตายเถอะ! ผมเพิ่งสังเกตผิวหนังที่แห้งซีดออกเขียวของมือข้างนั้นก่อนหันหน้าช้าๆ มองดูเขา
          "เฮ้ย!" ผมหลุดปากร้องเสียงดัง ร่างนั้นไม่ใช่ฅน ไม่ใช่ร่างเดียว แต่มีมากมายที่วิ่งแย่งสิ่งของปนไปกับชาวบ้านและพวกเด็กๆ และพวกนั้นคงไม่มีใครเห็นเหมือนที่ผมเห็นแน่ เพราะพวกเขายังคนสนุกสนานเฮฮากับการวิ่งแย่งสิ่งของปนไปกับพวกภูติผีปีศาจนั่น

          ได้แต่ยืนตะลึงตาค้าง นิ่งมองภาพที่น่าสยดสยองเบื้องหน้า... กลิ่นควันธูปจางๆ กับความรู้สึกหิวเหมือนทำให้ได้สติ ผมวิ่งเข้าไปในกลุ่มที่กำลังแย่งชิงสิ่งของนั่นอย่างไม่รอช้า... เปล่า ผมไม่ได้เข้าไปแย่งชิงขนมกับชาวบ้านและพวกเด็กๆ หรอกนะ แต่ที่ผมต้องแย่งกับมันก็คือพวกพวกผีเปรตเหล่านี้ต่างหาก.



วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ลูกโดด



          "ข้าแต่ศาลที่เคารพ ผมไม่ได้ยิง ผมไม่ได้ฆ่าใคร จะให้ตอบสักกี่ครั้งผมก็ขอยืนยันในคำตอบเดิม"

          ท่ามกลางความอบอ้าว ดินดำถูกกรอกลงปากกระบอกอย่างช้าๆ ด้วยใจที่ไม่ต่างจากอากาศรอบกาย ขนาดต้องพอเหมาะ ใช่ต้องกะให้พอดี ไม่มากไม่น้อยเกิน ใยมะพร้าวถูกยัดตาม แส้ปืนดันให้เข้าไป กระทุ้งด้วยอารมณ์ระอุสองสามครั้ง... ลูกตะกั่วขนาดใกล้เคียงปลายนิ้วชี้ ลูกโดด! กระสุนเม็ดเดียว สำหรับมันคนเดียว ยิ้มเหยียดที่ริมฝีปาก แววตาสะใจวาวโรจน์ขณะใส่ตามลงไปในลำกล้องเหล็กนั้น ยัดใยมะพร้าวลงไปอีกครั้ง แซ่ปืนกระทุ้งตามให้สนิทแน่นก่อนง้างนกปืนขึ้นมาช้าๆ แผ่นแก๊ปถูกแปะไปที่รูข้างกระบอก ค่อยๆ ปลดนกลงแนบตามเดิม ไม่ลืมสอดไม้ชิ้นเล็กๆ กันไม่ให้สัมผัสกับแผ่นแก๊ปที่ปิดไว้... แล้วก็พร้อมสำหรับระบายตะกอนที่จับตมร้อนรนในใจ

          วงเหล้าของพวกมันเริ่มมีเสียงเพลงเฮฮา ทั้งที่สักครู่นั้นคือเสียงโต้เถียงสาดอารมณ์เข้าใส่กัน ใช่! ตอนที่เจ้ายังร่วมวงอยู่กับพวกมันนั่นแหละ ถึงแม้วันลงคะแนนเสียงแบบนี้จะมีคำสั่งงดขายเหล้าก็ตามทีเถอะ นั่นมันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรสำหรับสหายร่วมสุราอย่างพวกเจ้านักหรอก

          "มึงรอกูที่นี่อย่าไปไหน" เจ้าบอกกับมันหลังโต้เถียงกันด้วยเรื่องที่ไม่ควรคุยในวงเหล้า โดยเฉพาะวันนี้ก่อนผละมา มันคงคิดว่ามันแน่ที่ยังคงครึกครื้นต่อได้ และมันพลาดที่ไม่ทันได้สังเกตว่ามัจจุราชกำลังมาเยือน...
          "ไปนรกเถอะ" เจ้าง้างนกปืนขึ้นมาอีกครั้งด้วยไอร้อนผ่าวที่ยังคงแผ่ซ่านทั่วกาย
          "เฮ้ย!" มันร้องเสียงหลงเมื่อเหลือบมอง ปากอ้าตาค้างขณะเจ้าวาดลำกล้องเข้าใส่ พวกขี้เมาในวงเหล้ายังคงตะลึง ไม่ทันที่มันจะได้ขยับด้วยซ้ำในจังหวะที่เจ้าเหนี่ยวไก นกปืนสับลง
          "..."
          ให้ตายห่าเถอะ ปืนเกิดด้านเสียอย่างนั้น เจ้าสบถกราดเกรี้ยวในใจ และไวกว่าจะทันได้ตั้งตัว ร่างหนึ่งเข้าประชิด อีแก๊ปถูกกระชากออกจากมือพร้อมกับเสียงดังก้อง ทุกฅนสะดุ้ง...

          ร่างนั้นคว่ำหน้าทิ่มวงเหล้าท่ามกลางความตกตะลึง ลูกโดดเจาะกลางหน้าผากของมันอย่างเหมาะเหม็ง มันตายคาที่โดยไม่ทันได้ส่งเสียงออกมาด้วยซ้ำ... เจ้าเบิกตากว้างมองร่างเคราะห์ร้ายนั้น หันมองปืนแก๊ปที่หล่นอยู่ข้างฝา ร่างเจ้าสั่นเทากับภาพตรงหน้า ความร้อนระอุดูจะเย็นเยือกลงอย่างฉับพลัน ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก
          ก่อนจะหล่นลงข้างฝา ปืนแก๊ปกระบอกนั้นถูกเหวียงไปฟาดกับเสา ช่างเหมาะเจาะที่เหลี่ยมเสาคงกระทบกับนกปืนเข้าพอดี และแรงกระแทกนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้แก๊ปจุดชนวนระเบิดขึ้นมา


          ลมเย็นโชยแผ่วขณะเจ้าแหงนมองเมฆหม่นเหนือกำแพงสูงรอบกาย เแว่วสียงรำพันจากใจ 'กูไม่ได้ฆ่า กูไม่ได้ฆ่ามึงนะไอ้ชัย' เสียงนั้นแผ่วเบา เจ้าก้มมองผืนดินใต้ฝ่าเท้าขณะรับรู้ได้ว่า อากาศวันนี้ยังคงเยือกเย็นเสียจริง.


ภาพประกอบ: https://static.pexels.com

บาตข้าวสาร



          บาตข้าวสารคืออะไร เชื่อว่าหลายท่านคงไม่รู้จักแน่นอน และหากอยากรู้จักคงต้องย้อนยุคมาทางภาคตะวันออกเมื่อหลายสิบปีที่แล้วกัน
          ในสมัยก่อนบ้านนอกของผม (อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด) จะไม่ค่อยมีบ้านเรือนผู้ฅนอยู่กันหนาแน่นสักเท่าไร บ้านฆ้อ บ้านเกิดของผมนั้น สมัยที่ผมเป็นเด็กน่าจะมีบ้านเรือนอยู่ไม่เกินห้าสิบหลัง และอยู่กระจัดกระจายกันออกไปตามหัวไร่ปลายนาอีกต่างหาก

          วัดฆ้อจะเป็นวัดที่เก่าแก่วัดหนึ่งในสมัยนั้นซึ่งจะมีวัดเพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งตอนนั้นวัดดูจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้ฅนมากกว่าสมัยนี้อย่างเห็นได้ชัดทีเดียว และด้วยความที่วัดมีเพียงไม่กี่แห่ง วัดฆ้อของผมจึงมีผู้ฅนทั้งจากที่ใกล้ไกล ต่างหมู่บ้าน ต่างตำบล ต่างอำเภอก็มี พากันมาทำบุญ ทั้งที่การคมนาคมก็ไม่ได้สะดวกสบายอย่างในปัจจุบันนัก บางฅนต้องมาค้างคืนบ้านญาต เพื่อจะได้ไปทำบุญที่วัดกันในเช้าวันรุ่งขึ้น ในสมัยก่อนญาตพี่น้องแม้จะอยู่ห่างไกล ก็ยังได้ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ อย่างน้อยก็ทุกวันพระ และในงานบุญต่างๆ นั่นแหละครับ

          แต่ส่วนมากก็จะเป็นช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น ที่วัดเราจะคึกคัก ช่วงออกพรรษาไปแล้ว หรือช่วงที่ยังไม่ถึงฤดูพรรษา วัดของเราก็เงียบเหงาพอควร บางครั้งพระสงฆ์ต้องหุงหาอาหารกันเองด้วยซ้ำ และบางครั้งพระก็ไม่มีแม้แต่ข้าวสารที่จะนำมาหุงฉันกัน เมื่อข้าวสารไม่มี หรือเหลือน้อย งานนี้ก็จะเป็นหน้าที่ของเหล่าบรรดาเด็กวัด หรือญาตโยมซึ่งคอยดูแลพระนั่นแหละ ที่จะต้องออกไป บาตข้าวสารกัน (คำเต็มน่าจะมาจาก บิณฑบาตข้าวสารนะครับ)

          เด็กวัดก็จะสะพายย่ามกันคนละใบ ออกไปตามบ้านเรือนที่มีคนอยู่ เมื่อพบเจ้าของบ้านก็ขึ้นไปนั่งคุกเข่า พนมมือยกขึ้นเหนือหัวพร้อมทั้งพูดว่า บาตข้าวสาร ชาวบ้านก็จะเข้าใจ และตักข้าวสารในโอ่งในไหใส่ย่ามของเด็กวัดกัน


          ประเพณีบาตข้าวสารนี้หายไปนานเท่าไรผมเองก็จำไม่ได้แล้ว แต่วันนี้นึกขึ้นมาได้ก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นบันทึกความทรงจำเท่านั้นครับ

วันอาทิตย์ฝนพรำ



          วันหยุดกับสายฝนพรำ อาจเป็นวันน่าเบื่อหน่ายสำหรับใครหลายฅน การรอคอยก็เช่นกัน มันคือความทรมานที่น่าเบื่อหน่ายไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าบางทีการรอคอยใครสักฅนในวันฝนพรำนั้น อาจเป็นเพียงสุขเดียวที่ฉันจะไขว่คว้าได้

          ผ่านกระจกร้านกาแฟเล็กๆ นี้ออกไปคือสายฝนที่โปรยละอองแต่เช้า ไม่มีทีท่าว่าจะหนักขึ้น และดูว่าจะไม่สร่างซาโดยง่ายเช่นกัน กลิ่นกาแฟกรุ่นละมุน ฉันสูดลมหายใจละเลียดบรรยากาศรอบกายด้วยรอยยิ้ม

          "รอผมนะครับ สัญญาว่าปลดประจำการจะรีบกลับมา" เสียงนุ่มๆ ของเขาบอกกับฉันในวันนั้น วันฝนตก ณ ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนี้ เขาวิ่งฝ่าสายฝนออกไปเมื่อรถโดยสารประจำทางจอดเทียบฝั่งถนน ยังไม่ลืมที่จะหันมาโบกมือให้กับฉัน

          เขาคือชายชาติทหารที่ฉันควรภูมิใจ ใช่ฉันควรภูมิใจ แม้จะแอบหวั่นลึกๆ ที่เขาเลือกสมัครประจำการยังสามจังหวัดชายแดน แต่นั่นแหละ ฉันควรเชื่อใจ และควรปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ

          ทุกวันอาทิตย์ฉันจะมานั่งรอที่นี่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ส่งข่าวมาก็ตาม บางครั้งบางที เขาก็มาโดยไม่ได้บอกกล่าวเช่นกัน และถึงอย่างไร การได้นั่งรอสำหรับฉันมันคือความสุขอย่างที่บอก แม้ต้องกลับไปโดยไร้วี่แววของเขาก็เถอะนะ ฉันได้สุขทั้งเวลาที่รอแล้วนี่นา

          ความจริงฉันได้ข่าวของเขามาสักระยะแล้ว เรื่องการเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ แต่นั่นคงไม่ทำให้ฉันเลิกที่จะมานั่งรอเขาที่ร้านกาแฟแห่งนี้ได้หรอก ฉันบอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่าการได้นั่งรอนั้น อาจเป็นสุขเดียวที่ฉันจะไขว่คว้าได้.

วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ชาย ผ้าเหลือง


          ผมเห็นดวงตาฝ้าฟางของแม่รื้นน้ำตาตั้งแต่ใบมีดโกนเริ่มจดเส้นผมบนหัวของผมนั่นแล้ว แม้ว่านั่น จะเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มปีติ แต่ทำไมผมกลับไม่สบายใจทุกครั้งที่เห็นน้ำตาคลอเบ้าของแม่ก็ไม่รู้สินะ ผมควรจะดีใจสิถ้าหากว่าการตัดสินใจของผมจะทำให้แม่มีความสุขในวันนี้ แต่บางครั้งความรู้สึกของฅนเราก็ยากที่จะอธิบาย เพราะบางครั้งก็ใช่ว่าเราจะเข้าใจตัวเองได้ทั้งหมด

          แม่ของผมหวังมาตลอดที่จะได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกชายขึ้นสวรรค์ ผมรับรู้ได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายนั่นเลยที่เดียว แม่นับวันรออายุยี่สิบของผมกับเพื่อนบ้านให้ผมได้ยินอยู่บ่อยๆ ด้วยความที่เป็นลูกฅนสุดท้องและยังเป็นลูกชายฅนเดียว ผมจึงเป็นความหวังเดียวของแม่ที่จะได้เห็นลูกพระ กอปรกับความที่ตลอดมาผมเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ตั้งใจเรียนไม่เคยเกเรเหมือนเพื่อนๆ วัยเดียวกัน ความหวังของแม่จึงฝากไว้กับผมอย่างเต็มเปี่ยม

          แต่แค่อีกเพียงปีเดียว ผมก็ไม่อาจรักษาความหวังที่รับฝากจากแม่ไว้ได้ ผมทำร้ายจิตใจของแม่อย่างที่ผมเองก็ไม่อาจที่จะให้อภัยตัวเองได้เลยจริงๆ ผมรู้ว่าแม่เสียใจมาก ผมเองก็เจ็บไม่ต่างกันที่ทำให้ท่านผิดหวัง แต่เรื่องของความรักมันไม่เคยมีเหตุผล ผมพาแฟนเข้าบ้านทั้งที่ปีหน้าก็จะครบบวช ถึงจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมทำให้แม่เสียใจ แต่มันก็ช่างใหญ่หลวงนักในความรู้สึกของผม

          หลังโกนผมเสร็จ ผมก็ได้ใส่ผ้าถุงที่แม่ได้ซื้อหาเตรียมมาให้พร้อมกับไตรจีวร และเครื่องบริขารอื่นๆ ของผมนั่นแหละ แม่ซื้อชุดสำหรับนาค และไตรจีวรไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้กำหนดวันบวชของผมเลยด้วยซ้ำ แค่ผมรับปากว่าจะบวชเท่านั้นแหละแม่ก็จัดเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพเลยทีเดียว

          บางฅนชมว่าผมดูดีในชุดผ้าถุงสีน้ำเงิน และเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวแบบนี้ แต่กระนั้นยังไม่วายได้ยินเสียงพูดในทำนอง บวชพระเพราะพ่ายรัก จากพวกชาวบ้านปากมากนั่นเหมือนกัน
          "ดีแล้วให้มันบวชเรียนเสีย สึกมาจะได้เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว" ป้าจิตรพูดแบบปลอบใจแม่เสียนั่นแหละ แกคงไม่อยากให้แม่คิดมากเพราะพวกปากหอยปากปูนั่น แต่อันที่จริงแค่ผมยอมบวชให้ท่านได้แม่ก็ดีใจยิ่งกว่าอะไรแล้ว แค่เสียงชาวบ้านนินทาทำอะไรท่านไม่ได้หรอกผมรู้ดี
          "แม่จอยยังดีนะที่ยังได้เห็นผ้าเหลืองลูกพระ ของฉันน่ะคงหมดหวังแล้วแหละ มันดันมีเมียเสียก่อนแบบนี้ บวชไปแม่ก็ไม่ได้บุญ เมียมันได้หมด"  ป้าจันหันมาปรับทุกกับแม่ขณะเตรียมทำขวัญนาค ป้าจันยังถามถึงแฟนผมเหมือนกัน แต่แม่ก็เลี่ยงที่จะไม่พูดถึง คงกลัวที่จะกระทบจิตใจผมนั่นแหละ

          น้ำตาของแม่ยังคลอเบ้าให้ได้เห็นในช่วงพิธีทำขวัญนาค ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่หมอขวัญสอดแทรกบทตลกเรียกเสียงหัวเราะหรือบทเศร้าเรียกน้ำตาก็ตามที ยิ่งได้เห็นน้ำตาแห่งความยินดีของแม่ ความรู้สึกผิดเหมือนยิ่งชัดในใจ ผมรู้ว่าถึงอย่างไรผมก็อดคิดถึงเขาผู้ทิ้งผมไปเมื่อเจอชายฅนใหม่ไม่ได้ แต่ผมจะพยายามตัดใจ และตัดขาดจากโลกภายนอกให้ได้ ผมจะพยายามเป็นบรรพชิตที่ดีเพื่อจะได้เป็นชายที่สมบูรณ์แบบในวันลาสิกขา ผมแค่หวัง ส่วนเขาฅนนั้น ช่างเขาเถอะนะ ก็แค่ผู้ชายฅนหนึ่งเท่านั้น.



ขอบคุณภาพจาก: https://static.pexels.com

เรื่องของฉันในวันพระ



05:30
         ฉันตื่นแต่เช้ามืด เตรียมตัวหุงหาอาหารสำหรับวันพระ 15 ค่ำ วันนี้... ชีวิตชายโสดวัยหกสิบกว่าๆ อย่างฉันก็ต้องทำอะไรด้วยตัวเองแบบนี้เป็นธรรมดา ฉันนั้นคุ้นเคยกับการต้องอยู่ฅนเดียวมานานแล้ว นับตั้งแต่ภรรยาของฉันจากไป และฉันได้รู้ว่าไม่มีใครจะสามารถให้ความรักกับฉันได้เท่ากับเธอ ฉันก็อยู่ฅนเดียวมาตลอด ลูกๆ ของฉันต่างก็ใช้ชีวิตกับครอบครัวในเมืองกันหมด ที่นี่จึงมีเพียงฉันที่อยู่เฝ้าสวนยางเกือบยี่สิบไร่ซึ่งบุกเบิกมากับเมียนี้แต่ลำพัง

07:05
          ฉันสวมชุดขาว พาดบ่าด้วยผ้าขาว เดินเท้าเปล่าเข้าวัดพร้อมข้าวปลาอาหารที่เตรียมไว้ ด้วยความที่กำแพงวัดอยู่ไม่ห่างจากรั้วบ้านสักเท่าไรฉันจึงสะดวกที่จะเดินมามากกว่า และนอกจากจะทำบุญตักบาตรแล้ว ทุกวันพระฉันจะรักษาอุโบสถศีลเป็นประจำ วัยขนาดฉันนี่ที่พึ่งทางใจดูจะเป็นสิ่งสำคัญทีเดียว อีกอย่างการได้เข้าวัดทำบุญรักษาศีลฟังเทศน์ฟังธรรมแบบนี้ ก็ยังช่วยให้ฉันได้เห็นหน้าฅนรุ่นเดียวกันที่ปรกติเราจะไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไรนักด้วย
          "มาทุกวันเลยนะทิดชม ไอ้ฉันนี่ร่างกายมันแย่เต็มที วันไหนรู้สึกมีแรงถึงจะได้มา" ทิดชุ่มเอ่ยทักทายฉัน แกมักจะบ่นเรื่องสังขารของแกให้ฉันฟังอยู่เสมอ
          "แข็งแรงอย่างทิดชมก็ดีหรอกนะ จะได้หาเอ๊าะๆ มาดูแลสักฅน" ทิดชุ่มกระเซ้า ฉันยิ้มให้แกก่อนขอตัวไปใส่บาตร

09:30
          หลังจากฟังพระสวด ฟังเทศน์ฟังธรรม รับศีลรับพรกันแล้วเราก็ทำวัตรสวดมนต์ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ซึ่งก็เป็นปรกติทุกวันของเรานั่นแหละ
          "ไม่หาเอ๊าะๆ อีกสักฅนล่ะ อยู่ฅนเดียวเหงาตายเลย ลูกหลานก็นานๆ จะมาทีแบบนี้" ทิดชุ่มยังไม่วายหันมากระแซะ ฉันปิดบทสวดมนต์ที่กำลังดูอยู่หันมาคุยกับแก
          "อย่าเลย พวกเด็กสาวๆ น่ะ เขาไม่มาจริงจังกับฅนแก่อย่างเราหรอก" ทิดชุ่มหัวเราะชอบใจ
          "เข็ดเลยรึไง" แกถาม ฉันได้แต่ยิ้มให้แกก่อนเปิดหนังสือทวนบทสวดที่ฉันยังท่องได้ไม่คล่องต่อ

17:00
          "จะกลับแล้วรึ ไม่นอนวัดกับพวกเราดูบ้าง บ้านก็ไม่มีใครนี่นา" ทิดชุ่มเอ่ยถามเมื่อฉันลาศีลเตรียมตัวกลับบ้าน เป็นประจำที่ฉันจะออกศีลตอนเย็นไม่ได้ค้างคืนที่วัดเหมือนพวกเขา
          "บ้านไม่มีใครน่ะสิถึงได้เป็นห่วง" ฉันตอบทิดชุ่ม ขณะที่เสียงยายจันบ่นเรื่องรองเท้าดังแว่วมาพอให้ได้ยิน
          "แอบซ่อนเอ๊าะๆ ไว้หรือเปล่า" ทิดชุ่มยังไม่วายที่จะแหย่
          "ไม่มีหรอก ฉันเลิกแล้วจริงๆ ขอตัวกลับก่อนนะ" ฉันเดินออกมาโดยหูยังแว่วเสียงหัวเราะไล่หลัง

17:20
          ฉันหิ้วปิ่นโตเข้ามาในป่ายาง ใช่! ต้องเรียกว่าป่ายางสินะ เพราะสวนยางของฉันมันมีสภาพแบบนั้น สวนยางโบราณ เฉาะร่องเฉพาะโคนพอให้มุดไปกรีดได้ สวนของฉันจึงดูรกร้างไม่ต่างจากป่า แถมยังมีไม้ใหญ่อย่างขนุน มะไฟ สีระมัน* ขึ้นแซมเป็นแห่งๆ ทำให้ทั้งสวนดูมืดครึ้มแม้เพิ่งจะห้าโมงกว่าๆ นกกระปูดร้องดังมาจากไหนสักแห่ง เหล่าแมลงส่งเสียงงเซ็งแซ่ไม่ผิดจากป่าเลยจริงๆ

17:30
          ตรงเนินดินระหว่างช่องว่างของต้นยางที่ตายไป ฉันนั่งลง นำอาหารจากปิ่นโตมาวางไว้ตรงนั้นเหมือนทุกครั้งในวันพระแบบนี้
          "เชิญกินเชิญอยู่นะ" ฉันพึมพำหลังจุดธูปปักลงไป
          "อิทํเม ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย" ฉันท่องบทกรวดพลางเทน้ำในถุงที่เตรียมมาลงดิน อุทิศส่วนกุศลให้ร่างที่นอนอยู่ใต้นั้นก่อนเก็บข้าวของเพื่อเดินออกมา
          "อีแหม่ม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ทอดทิ้งเอ็งหรอกนะ" ฉันยังคงพึมพำฅนเดียว ก่อนหันไปถ่มน้ำลายใส่เนินดินอีกกองที่เดินผ่าน
          "ตายอดตายอยากอยู่นี่แหละมึง!"



*ลิ้นจี่ป่า/ลิ้นจี่เกาะช้าง

นักเลง


          'ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา' คำโบราณกล่าวนั้นดูจะใช้ได้ดีกับผมในยามนี้ยิ่งนัก รู้ดีว่ามันสายไปที่จะมาสำนึกกับคำเตือนคำสอนต่างๆ ที่ไม่เคยสำนึก คงได้แต่ส่งสายตาไปยังเขาซึ่งยืนนิ่งมองผมอย่างไร้ความรู้สึกอยู่ตรงหน้า

          "คำว่านักเลงน่ะมันมาจากภาษาเขมร แปลว่านักเล่น หรือฅนเล่น ฅนเล่นไก่ก็นักเลงไก่ ฅนชอบเล่นสาวก็นักเลงผู้หญิง แล้วเอ็งคิดว่าไอ้คำว่าฅนเล่นนี่มันโก้ไหมล่ะ" คงได้แต่นึกถึงคำพูดที่เขาเคยบอกเคยสอน คำพูดแปลกๆ บางครั้งก็น่าขำ... เขาคือพี่ชายฅนเดียวของผม ครอบครัวของเรามีกันเพียงสามฅน พ่อผมแก่มากแล้ว เขาจึงพยายามทำตัวเป็นผู้ปกครอง หากแต่เราทั้งสองมีนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมชอบอะไรที่มันท้าทาย โลดโผน เขากลับชอบความเรียบง่าย สมถะ ผมมีเพื่อนมากมาย แต่เขาไม่ชอบคบใคร

          "และถ้าจะเอานักเลงในความหมายไทยๆ นี่ พวกเอ็งก็ไม่ใช่ เป็นนักเลงต้องมีเรื่องชกต่อย ต้องยกพวกตีกัน ต้องมีลูกน้อง ต้องมีลูกพี่ มันใช่เหรอวะ" ยังมีอีกมากมายที่เขาพร่ำบอก เพื่อให้ผมหยุดนิสัยซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นแค่อันธพาล ไม่ใช่นักเลงในความหมายไทยๆ ตามที่เขาว่า แล้วนักเลงของเขามันคืออะไร สุภาพบุรุษแบบเมื่อห้าสิบปีที่แล้วนั่นน่ะเหรอ น่าขำชะมัด สมัยนี้มันหาไม่ได้แล้ว จำได้ว่าพูดใส่หน้าเขาไปแบบนั้น

          ผมว่าเขาต่อต้านนักเลง ต่อต้านฅนที่ทำตัวเป็นลูกผู้ชายมากว่า นั่นเพราะมันห่างจากตัวเขามาก เรียกว่าตรงกันข้ามเลยที่เดียวก็ว่าได้

          "เฮ้ย พี่มึงเป็นตุ๊ดเหรอวะ" เป็นคำพูดของเพื่อนๆ ที่ผมยอมรับว่าอาย ยิ่งอายผมยิ่งเกลียดเขา จึงมักขึ้นเสียงใส่เมื่อเขาพยายามที่จะสอน เราทะเลาะกันบ่อยครั้ง ในที่สุดก็ต่างฅนต่างอยู่ ทางใครทางมัน เขาอยู่ในโลกของเขา ผมอยู่ในโลกของผม โลกที่มีเพื่อนฝูงเฮฮา และโลกของเขาก็คงจะมีแต่พ่อเพียงฅนเดียว

          "กูเห็นพี่มึงเดินเข้าหาพี่ดำ ท่าทางขึงขังน่าขำชะมัด เขาถามว่าใครชื่อดำ พี่ดำหัวเราะยียวนตามแบบของเขา บอกว่ากูเอง พี่ดำพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำเสียงปืนก็ดังขึ้น กูมองไม่ทันเลยว่ะ เห็นแต่หน้าผากพี่ดำเป็นรูโบ๋ใบหน้ายังยิ้มร่า เออ! พี่ดำตายห่าทั้งที่ยังยิ้มอยู่แบบนั้นแหละ" ไอ้นพเล่าเรื่องของพี่ชายให้ฟังขณะผมยังเป็นฅนป่วยที่ต้องนอนเตียง มันทำเอาสะอึกชาไปทั้งร่างกับคำบอกเล่านั้น

          พี่ดำเป็นลูกพี่ของพวกเรา เป็นพี่ใหญ่สุดในกลุ่มแก๊ง พวกเราไม่มีใครกล้าหือกับพี่เขา ยิ่งผมด้วยยิ่งแล้ว ไม่มีทางกล้าแน่นอน... หากคิดจะเดินสายนักเลงเราต้องมีลูกพี่คุ้มกะลาหัว และพี่ดำจะเป็นฅนแรกที่วัยรุ่นแถวนี้นึกถึง ผมก็เช่นกัน แต่ผมมันก็มีข้อเสียเรื่องผู้หญิง ผมรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงของพี่ดำ ผมไม่เคยคิดยุ่งหรอก แต่ก็ไม่เข้มเข็งพอเมื่อเธอเป็นฝ่ายเข้าหา นั่นแหละจึงกลายเป็นการปืนเกลียวระหว่างเรา

          เพื่อนๆ เริ่มตีตัวออกห่างเมื่อรู้ว่าผมมีเรื่องกับลูกพี่ ไม่มีใครกล้ามาคบกับผม ผมพยายามหลบ ไม่กล้าไปเรียน และได้แต่หลบ หากไม่พ้น วันนั้นผมโดนรุมโดยเพื่อนๆ ได้แต่ยืนดู ผมถูกซ้อมจนสลบ อาการสาหัสจนต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนานหลายวัน แล้วไอ้นพก็เอาข่าวนั้นมาบอก


          "ฅนที่อวดตัวว่าดี มันไม่ใช่คนดี ฅนที่อวดตัวว่าเป็นนักเลง มันก็ไม่ใช่นักเลง"

          เพิ่งเข้าใจคำพูดของเขาได้ดีวันนี้เอง... วันที่ผมทำได้แค่มองเขาผ่านลูกกรงเหล็กนั่น ปล่อยน้ำตาแห่งความอ่อนแอไหลออกมาอย่างสุดฝืน

          "อย่างพี่นี่สินะ นักเลงที่แท้จริง" ผมถามด้วยเสียงที่ดูตีบตันในลำคอ เขาเหลือบตามอง ยิ้มให้แบบสมเพชเหมือนทุกครั้งที่มักแสดงกิริยาแบบนี้กับผม ส่ายหน้านิดๆ ก่อนเอ่ยน้ำเสียงเรียบๆ ออกมา...

          "ไม่ใช่... อย่าลืมสิ ตอนนี้พี่เป็นฆาตกร"

ศาสนากับศรัทธา



          เมื่อผมบอกว่าไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เชื่อและไม่ศรัทธา ก็มักจะมีคำถามสวนกลับเข้ามาในทำนองว่า แล้วผมนับถือศาสนาอะไร ผมมีศาสนาไหม ซึ่งผมก็มักจะถามกลับว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับศาสนา (ทั้งที่จริงผมต้องถามกลับด้วยซ้ำว่าฅนที่เชื่อน่ะศาสนาไหน)

          ผมมีศาสนาสิครับ ศาสนาที่สอนไม่ให้งมงาย ศาสนาที่สอนให้ยึดหลักความจริง ศาสนาที่ไม่เคยสอนให้อ้อนวอนขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาสนาที่สอนให้พึ่งตนเอง ศาสนาที่บอกว่าทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น และผมไม่ได้ศรัทธาศาสดาจากความศักดิ์สิทธิ์ แต่ผมศรัทธาในคำสอนที่เป็นจริงอย่างลึกซึ้งนั้นต่างหากครับ คงไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่าผมนับถือศาสนาอะไร

          การที่ไม่ศรัทธาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทำให้ผมเป็นฅนไร้ศรัทธาหรอกนะครับ เพราะถึงอย่างไรผมก็เชื่อในพลังของศรัทธา ผมเชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยพลังศรัทธา โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยด้วยซ้ำ

          อธิบายได้ดังนี้ หากคุณยังจำเรื่องราวของเด็กชายเคอิโงะได้ คุณคิดว่าการที่เขาได้เจอพ่อ ซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะมาจากการถือรูปพ่อเดินถามนักท่องเที่ยว คุณว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเพราะพลังศรัทธาที่เขาเชื่อว่าเขาต้องได้เจอพ่อ คุณอาจบอกว่าเป็นเพราะนักข่าว เป็นเพราะสื่อ แต่ต้องไม่ลืมว่าสื่อนั้นเข้ามาหลังจากที่เขาได้แสดงความมุมานะจากพลังศรัทธาออกมาให้ได้เห็น เพราะที่เขาทำนั้นมันไม่ใช่แค่วันสองวัน หรือเดือนสองเดือน หากไม่มีศรัทธา หรือไม่มีความเชื่อที่ว่าเขาต้องได้เจอพ่อแล้ว เขาคงไม่ยืนหยัดได้ขนาดนั้นหรอก จริงไหมครับ

          เช่นเดียวกับคนที่มีชื่อเสียงหลายๆ ท่านไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา นักร้องนักแสดง หรืออาจจะนักเขียนก็ตาม หลายฅนที่ประสบความสำเร็จนั้นมาจากความคิด ความเชื่อ หรือความศรัทธาที่ว่า ฉันต้องทำได้ แน่นอนว่าหลายๆ ความเชื่อความศรัทธาที่ว่านี้ต้องมีที่มาจากความชอบหรือใจรักเป็นส่วนประกอบด้วย ซึ่งแค่ใจรักอย่างเดียวคงไม่พอแน่ อย่างเช่นสมมุติว่าคุณอยากเป็นนักเขียน แต่กลับติดที่ว่าคุณเรียนมาน้อย ไม่มีความรู้ ไม่มีพื้นฐานด้านภาษา มีแต่จินตนาการกลับถ่ายทอดไม่ได้เรียบเรียงไม่ถูก หรือะไรอีกก็แล้วแต่ หากคุณคิดแบบนั้นคุณคงเป็นได้แค่นักอ่าน และคงไม่ได้เป็นแม้กระทั่งนักอยากเขียน

          อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะเป็นนักเขียน นักอ่าน หรืออะไรที่คุณเป็น และกระทั่งที่ผมเป็น ผมเชื่อว่าล้วนมาจากความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา หรือความไม่ศรัทธานั่นแหละครับ... สุดท้ายที่อยากฝากไว้ก็คือ


          "การศรัทธาในสิ่งซึ่งควรศรัทธา นั้นเป็นมงคลต่อชีวิต"
          "แต่การศรัทธาแบบไม่ลืมหูไม่ลืมตา นั้นเขาเรียกว่า... งมงาย"

ยาสั่งตาย



          แตงโมที่ถูกทุ่มลงกับโคนไม้ตรงหน้านั้นแตกกระจายในทันที เนื้อในสีแดงแหลกเหลวออกมาดูช่างไม่ต่างจากลิ่มเลือดสดๆ ด้วยใบหน้าซีดเผือเ เขามองมันอย่างหวาดผวา กายสั่นริกขณะทรุดร่างลงช้าๆ พลางคร่ำครวญ

          ตั้งแต่รุ่นหนุ่มแล้วที่เขามีความสนใจทางด้านไสยศาสตร์คาถาอาคม หากแต่ภายนอกนั้นเขาอาจดูไม่เหมือนฅนที่ชื่นชอบทางด้านนี้สักเท่าไร เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะชอบปลีกวิเวก การแต่งกายก็ดูจะผิดแผกจากชาวบ้านทั่วไป บ้างปล่อยเนื้อปล่อยตัวสกปรก บ้างก็ผมเผ้ายาวรุงรัง รวมถึงกริยาอาการที่แสดงออกซึ่งทำให้รู้ได้ไม่ยาก ในขณะที่เขานั้นเรียกว่าหากไม่รู้จักกันจริง จะไม่มีทางทราบเลยว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านคุณไสย

          สิ่งเดียวที่ทำให้เขาดูคล้ายฅนเล่นของทั่วไปก็คือการใช้ชีวิตโสดอย่างยาวนานหลายปี กว่าจะมีคู่ครองอายุอานามก็ร่วมสี่ห้าสิบ นั่นทำให้เขาดูจะลดเรื่องความชื่นชอบทางเดรัจฉานวิชาลงไปได้บ้าง ซึ่งใครต่อใครต่างรับรู้ได้ถึงความขยันขันแข็งหาเลี้ยงลูกเมียของเขา

          "พ่อขอโทษ ลูก พ่อขอโทษ!" เขาได้แต่ตระกองกอด ซบหน้ากับร่างโชกเลือดของลูกชายและปล่อยสะอื้นออกมา เหลือบมองภรรยาซึ่งนอนจมกองเลือดไม่ห่างกัน
          "ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ!" เขายังคงได้แต่พร่ำบอกกับร่างไร้ลมหายใจทั้งสองนั้น

          แม้จะไม่ทราบที่มาที่ไปอย่างแน่ชัดสักเท่าไร แต่ด้วยประสบการณ์ก็ทำให้เขาปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่อยากเย็นนัก มันต้องเริ่มจากแตงโมลูกนั้น พระธุดงค์องค์นั้น และความร้อนวิชาของเขา

          คุณไสยที่เขาเชี่ยวชาญก็คือ ยาสั่ง เขารู้จักมันแทบทุกชนิด นั่นหมายถึงวิธีการปรุงขึ้นมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นชนิดน้ำ ครีม ผง ทำมาจากพืช หรือสัตว์ สั่งให้ตายด้วยอะไร ช้าเร็วแบบไหน เขาเรียนรู้จนช่ำชอง

          วันที่เขาคิดค้นวิธีวางยาสั่งแบบใหม่ วันนั้นพระธุดงค์รูปนั้นผ่านเข้ามาในหมู่บ้านพอดี พระรูปเดียวรอนแรมเข้ามาในถิ่นกันดารแบบนี้ ส่วนใหญ่ต้องมีวิชา แต่จะแก่กล้ามากน้อยแค่ไหนนั้น เขาคิดว่าเดี๋ยวคงได้รู้กัน มันช่างประจวบเหมาะกับการอยากลองวิชาของเขายิ่งนัก

          ไม่มีใครทราบเรื่องนี้แม้แต่ลูกและเมีย ทุกฅนล้วนคิดว่าเขาวางมือแล้ว นั่นทำให้เขาทำอะไรได้ง่ายขึ้น และเขาแน่ใจว่าวิธีการวางยาสั่งที่คิดค้นขึ้นนั้นจะแนบเนียนจนไม่มีใครสงสัย หรือจับได้อย่้างแน่นอน

          แตงโมจากไร่ของไอ้หงัดกำลังได้ที่พอดี เขาหมายตาไว้หลายวันแล้วก่อนจะแอบเอามาเมื่อคืน... จากวิธีวางยาสั่งแบบเดิมๆ ที่ต้องเหน็บเล็บแล้วแอบจุ่มในอาหาร หากแต่เขาได้คิดค้นจนยาของเขาสามารถที่จะแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูเนื้อของอาหารต่างๆ ได้ และแตงโมทั้งลูกไม่ได้ผ่าแบบนี้ หากเกิดอะไรขึ้นใครล่ะจะมาสงสัย และกว่าที่จะมีอะไรเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อพระท่านจะได้ฉันแตงโมซ้ำอีกครั้งเมื่อไรนั่นแหละ
          เขายิ้ม เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขายิ้ม ในขณะที่ตอนนี้ได้แต่ร่ำไห้กับความสูญเสียตรงหน้า... ทั้งสองสิ้นลมแล้วเมื่อเขามาถึง โดยทิ้งร่องรอยแห่งความทรมานก่อนการจากลาให้ได้รับรู้ ด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวแสดงอาการเจ็บปวดสาหัส ตาเบิกค้างเหลือกโพลน คราบของเสียถูกขับถ่ายออกมาทางทวารหนักเบาเกรอะกรัง ส่งกลิ่นคลุ้งผสมคาวเลือดที่ทะลักจากปากและจมูกเจิ่งนองพื้นกระดาน

          แตงโมผ่าครึ่งนั้นถูกตักกินจนแทบเหลือแต่เปลือก อีกลูกหล่นอยู่กับพื้นดิน หากแต่ไม่สำคัญเท่ากับเนื้อแตงที่ปนอยู่กับกับกองเลือดนั่น มันสร้างความรู้สึกเย็นเยือกแล่นเข้าจับขั้วหัวใจจนสั่นสะท้าน

          เขาช่างโง่เง่าสิ้นดี ไม่ได้นึกสงสัยเลยที่กลับบ้านเย็นนั้นจะมีแตงโมที่ภรรยานำมาผ่ากินกัน คิดแต่ว่าไอ้หงัดมันตัดแตงก็เลยแบ่งมาให้จนลืมถามภรรยาให้ถ้วนถี่

          บางที... เขาอาจโดนย้อนรอยจากภิกษุรูปนั้น หรือไม่ก็แค่มีคนนำของไปถวายจนพระฉันไม่หมดจึงต้องแบ่งชาวบ้านมากิน และโชคร้ายที่มันย้อนกลับมาที่เขาก็ได้ หรืออาจด้วยเหตุผลร้อยแปด แต่ไม่ว่าอย่างไร เขา ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องยาสั่ง กลับพลาดจนของเข้าตัว และกลายเป็นผู้กำหนดการตายอย่างทรมานแก่ลูกเมีย และตัวเอง

          มือสั่นเทาเอื้อมหยิบชิ้นแตงโมซึ่งหล่นกระจายเบื้อนดินตรงหน้า เขาแค่นยิ้มออกมาด้วยความสมเพชเวทนาตัวเอง ก่อนละเลียดเข้าไปทั้งน้ำตา

          ท่ามกลางความหม่นมัวและเงียบงัน เสียงร้องโหยหวนแผดก้องออกมาพร้อมลิ่มเลือดสดๆ ที่ทะลักจากปากและทวารหนักเบาต่างๆ ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวดวงตาทะลักปูดโปน และเขาคงได้แต่ส่งเสียงน่าเวทนาอยู่อย่างนั้น.



ขอบคุณภาพจาก: https://www.pexels.com

พี่สาว


          "พ่อกับแม่ผมกลับมาแล้ว พี่สาวรีบไปเถอะ" เขาร้องบอกเพื่อนใหม่เมื่อได้ยินเสียงรถจอดที่หน้าบ้าน

          "ไอ้นัทอยู่ไหน มาช่วยถือของหน่อย"
          เด็กชายรีบวิ่งออกไปก่อนที่แม่จะเรียกซ้ำสอง
          "มัวทำอะไรอยู่ ได้ยินเสียงรถทำไมไม่รีบออกมา" ถึงอย่างไรโดนแม่ก็ดุอยู่ดี
          "ห่วงแต่การ์ตูนล่ะสิ" พ่อเลี้ยงต่อคำแม่ก่อนเดินตัวปลิวเข้าบ้าน ขณะที่เขาหิ้วของพะรุงพะรังตามหลังทั้งสองไป

          เขาชื่อนัท เด็กชายวัยเก้าขวบ เขาไม่เคยได้เรียนหนังสือ เพราะแม่กับพ่อเลี้ยงย้ายบ้านกันบ่อยมาก ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน บ้านหลังนี้พวกเขาก็เพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่นานนัก

          เขาไม่เคยมีเพื่อน เพราะแม่ไม่เคยให้เขาพาใครเข้าบ้าน และไม่เคยปล่อยให้เขาออกไปเล่นนอกบ้านเช่นกัน

          เธอน่าจะแก่กว่าเขาสักสามปี เด็กหญิงที่มักแอบมาเล่นด้วยกันเมื่อพ่อกับแม่ไม่อยู่ เธอพูดไม่ได้ เขาจึงไม่รู้ว่าเธอเป็นใครหรือแม้แต่ชื่ออะไร

          "พรุ่งนี้ผมต้องจากพี่สาวไปแล้วนะ" เขาบอกกับเธอในวันหนึ่ง "แม่จะให้ผมไปอยู่กับพ่อ แม่บอกว่าผมจะได้เรียนหนังสือ" เขาบอกเธออย่างเหม่อลอย
          "ผมไม่รู้หรอกว่าพ่อผมเป็นใคร ไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย" เขาหันมองเธอแล้วยิ้ม "ถ้าเป็นไปได้ผมจะให้พ่อพาพี่สาวไปอยู่ด้วยดีไหม" รอยยิ้มนั้นกลับค่อยจางลงเมื่อเธอส่ายหน้า

          คืนนั้นเขาป่วยหนัก แม่ได้แต่เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้

          "พี่สาว พี่มาชวนผมไปเล่นด้วยเหรอ" เขาเพ้อเพราะพิษไข้ พ่อเลี้ยงเริ่มรำคาญขณะที่แม่เริ่มวิตก
          "เราไปเล่นกันเถอะ" เขาพูดแล้วสงบลง
          แม่ของเขาไม่แน่ใจว่าเธอหูฝาดไปหรือเปล่า ที่ได้ยินเสียงเหมือนมีฅนวิ่งออกจากห้องพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก เธอหันตามเสียที่ค่อยเงียบหายไปนั้น เมื่อหันกลับมาเธอพบว่า เขาสิ้นใจ.

วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

มิติของฅนบ้า





          หากมีใครสักฅนจะให้คำจำกัดความเกี่ยวกับผมว่า 'ฅนบ้า' นั่นคงนับได้ว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่คำว่าบ้าของคุณคืออะไร หากคำว่าฅนบ้าของคุณหมายถึง ผู้ที่คิดและทำอะไรไม่เหมือนฅนอื่น หรือจะให้ชัดคือไม่เหมือนชาวบ้าน และความคิดนั้นบางทีก็คือการฝันเฟื่องไร้สาระ แถมส่วนใหญ่ยังเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่างหาก หากใช่แบบนั้นคุณเรียกผมว่าฅนบ้าได้เลย เพราะนั่นแหละคือผม



          เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนผมซื้อหนังสือบางๆ เล่มหนึ่งที่มีราคาเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำหนึ่งวัน โดยที่ไม่ได้ทราบเลยว่ามันคือหนังสืออะไร นอกจากได้เห็นตัวอักษร 3-D บนปกเท่านั้น เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ฉีกถุงที่ผนึกออกและค้นหาแว่นตาสามมิติ แต่ไม่เจอ อ่านจากปกคร่าวๆ จึงทราบว่ามันคือหนังสือสามมิติที่ดูด้วยตาเปล่า เชื่อไหมว่าผมไม่ได้อ่านวิธีการดูบนปกด้านในด้วยซ้ำ กับการสามารถมองเห็นภาพสามมิติที่ดูด้วยตาเปล่าได้เป็นครั้งแรก ก็เป็นธรรมดาของฅนบ้านั่นแหละ ที่บางครั้งผมจะปล่อยให้ภาพตรงหน้ากลายเป็นภาพทับซ้อน ขณะคิดอะไรไปตามประสาบ้าของผม และมันดันเป็นวิธีเดียวกับการใช้ดูภาพสามมิติแบบนี้พอดี จึงทำให้ผมดูมันได้ไม่ยาก

          พูดถึงภาพสามมิติแล้วต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ผมชอบ (หรือบ้า) มานานแล้ว ตั้งแต่เด็กที่สมัยนั้นจะเป็นภาพถ่ายผ่านเลนส์สองสี (แดง น้ำเงิน) และต้องใช้แว่นซึ่งมีสองสีนั้นใส่ดูเช่นกัน ถ้าจะถามว่าบ้าขนาดไหน ตอบว่าถึงขนาดที่ลงทุนซื้อปากกาแดงและน้ำเงินมานั่งออกแบบวาดภาพ แล้วก็ใช้สีเทียนระบายเพื่อจะได้มีภาพสามมิติที่ทำเองเลยนั่นแหละ (ตอนนั้นผมพอทราบว่าการมองเห็นเป็นสามมิติของฅนเราเกิดจากตาซ้ายและขวามองภาพฅนละมุม เมื่อนำมารวมกันสมองก็จะประมวลผลออกมาเป็นระยะใกล้ไกลด้วย) ซึ่งแน่นอนว่าจะให้มันสวยงามเหมือนภาพที่มีขายคงไม่ได้ แต่ความภูมิใจนั้นต่างกันมาก ถึงจะถูกมองว่าบ้าก็เถอะ



          และพอมาถึงภาพสามมิติดูด้วยตาเปล่าที่ใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบนี้ มีหรือที่ผมจะไม่วาดเลียนแบบบ้าง (ไม่มีปัญญามีคอมฯ นี่ครับ) จากการสังเกตทำให้ผมพอเดาหลักการของภาพสามมิติแบบนี้ได้บ้าง (มันต่างจากภาพสามมิติแบบเดิมที่เคยวาดมา แต่ยังคงหลักการที่ว่าตาซ้ายและขวานำภาพต่างกันมารวมกันเหมือนเดิม) แต่วิธีการจะเขียนมันนี่สิ ต้องลองผิดลองถูกกันนานทีเดียว ท่ามกล่างคำค่อนขอดว่าบ้าอีกเช่นเคย ตรงนี้ต้องบอกก่อนเลย กับคำว่าบ้านี่ผมไม่เคยโกรธอยู่แล้ว เพราะรู้ตัวดีอย่างที่บอก แต่ไอ้ที่ว่าผมบ้าเพราะเห็นว่ามันฮิต เหมือนเห็นเขาเห่อก็เห่อตามอะไรแบบนี้ต่างหากที่ผมจะไม่ชอบ เพราะการที่จะชอบอะไรตามฅนอื่นนี่ ต้องบอกว่าเป็นสิ่งซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นผมมากทีเดียว ก็เรียกว่าโดนหนักแหละครับงานนี้ ยิ่งเห็นผมไม่เลิกล้มที่จะเขียนคำค่อนขอดก็ดูจะหนักขึ้นๆ อย่างที่บอกว่าตอนนั้นผมยังไม่ทราบวิธีการเขียน ก็ได้แต่นำไม้บรรทัดมาวัดระยะ (ระยะจะมีส่วนเป็นอย่างมากในการสร้างภาพ) แล้วก็ใช้ปากกาขีดทีละเส้นเลียนแบบภาพจากหนังสือ แน่นอนว่าภาพที่ผมวาดมันต้องดูน่าขำหรือปัญญาอ่อนมาก ซึ่งตอนนั้นผมรู้เต็มอกว่ากระดาษกับปากกาก็สามารถสร้างภาพสามมิติแข่งกับคอมฯ ได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เถียงแม้จะถูกดูแคลนตลอดก็ตาม เพราะยังไม่สามารถแสดงให้เขาดูได้นี่ครับ นานทีเดียวกว่าผมจะรู้วิธีอันง่ายดายในการเขียนมันขึ้นมา

          "ง่ายอย่างนี้ใครก็ทำได้"

          นั่นคือคำพูดของฅนซึ่งบอกว่าผมบ้า ที่คิดทำสิ่งซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้มาก่อน ผมไม่เถียงหรอกว่าที่จริงแล้วมันไม่ยากเลย กับการวาดภาพสามมิติแบบนี้ด้วยปากกา จะยากก็ตรงที่ทำอย่างไรให้เขาเห็นว่ามันง่ายนี่แหละ เพราะฅนที่ไม่รู้หลักการอะไรเลย นอกจากมองภาพแล้วเดาเอาอย่างผม ก็ต้องลองผิดลองถูกกันนานอย่างที่บอก แต่นั่นแหละ ไม่ว่าอย่างไรผมก็ทำให้เขาได้เห็นแล้วว่าการเขียนภาพแบบนี้ใครก็ทำได้ แม้เขายังจะมองว่าผมเป็นฅนบ้าเหมือนเดิมก็เถอะ.

ภาพวาดด้วยปากกา




Dab neeg: ตำนานอาถรรพ์



          "แม่น้ำทุกสาย ป่าทุกป่า ต่างมีที่มาและตำนานของมัน" ร่างนั้นส่งเสียงราบเรียบ ด้วยท่าทางที่นิ่งกระทั่งเครื่องประดับเงินที่ห้อยระย้าอยู่บนหมวก และเสื้อซึ่งมีลายปักสวยงามนั้นเหมือนไร้ซึ่งการสั่นไหว กระโปรงจับจีบระบายที่สวมใส่นั้นดูขาวสะอาดตา ใต้ต้นประดู่บนหินก้อนใหญ่ตรงลานโล่ง ร่างนั้นเหลือบมองหญิงสาวผู้ซึ่งเพียงก้มหน้ารับฟัง โดยรอบคือบ้านเรือนซึ่งปลูกสร้างอยู่เป็นกลุ่ม กระท่อมเล็กๆ หลังคามุงหญ้า ถัดออกไปคือทุ่งบัวตองสีเหลืองบานสะพรั่งคลุมพื้นที่ซึ่งลดระดับลงตามสภาพไหล่เขา
          "นานมาแล้วใต้ต้นประดู่นี้ หญิงอาภัพคนหนึ่งได้จบชีวิตของเธอที่นี่" เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีกขณะหญิงสาวตรงหน้าคงมีท่าทีดุจเดิม...


          สายลมหนาวแทรกผ่านร่องฝาฟากสับเข้ามาภายในกระท่อมหลังน้อยพร้อมบรรยากาศแห้งแล้งของคืนหนาวเย็น
          "สองวันแล้วนะ ยังไม่มีข่าวเลย" หญิงชราเพียงพึมพำออกมาขณะเขี่ยกองไฟในเตากลางบ้าน ส่งเสียงไอออกมาพลางสุมฟืนเข้าไปใหม่ ไออุ่นแผ่กระจายกลิ่นควันลอยอบอวล
          "นังลูกชั่ว มันไม่รู้หรอกว่าจะให้ทำพ่อแม่อับอายได้แค่ไหน" ชายวัยกลางคนบนพื้นยกสูงพูดพลางรินเหล้าเข้าปาก ทำหน้าเหยเกก่อนวางท่าขึงขังขึ้นอีก "คนแซ่เดียวกันจะแต่งกันได้ยังไง มันงี่เง่าสิ้นดี" เขายังคงระบายความขัดเคืองขณะภรรยาซึ่งอยู่อีกมุมชำเลืองมอง ทอดถอนใจพลางทิ่มเข็มปักผ้าในมือ
          "เรื่องนั้นมันผ่านไปแล้ว เรื่องตอนนี้คืออาเหมยไปอยู่ไหนนี่สิ" หญิงชราเอ่ยเหมือนปรามในที น้ำตาไหลซึมผ่านรอยเหี่ยวย่นสู่ข้างแก้ม แกยกฝ่ามือขึ้นปาดหน้าขณะนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา...

          "ทำไมคนแซ่เดียวกันถึงรักกันไม่ได้" คำถามของหลานสาวในวันนั้นทำเอาทุกคนในบ้านพากันตกใจ และต่างโกรธแค้น สำหรับแกเองนั้นไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร เมื่อจารีตที่มีมาเนิ่นนานนั้นถูกท้าทาย
          "คนแซ่เดียวกันใช่จะเป็นพี่น้องกันเสมอไปนี่นา คนต่างแซ่บางครั้งเป็นพี่น้องกันก็มี" หญิงชรารู้ว่าบางทีคำพูดนั้นก็ดูมีเหตุผล แต่แกรู้ดีว่าบางสิ่งนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลง
          "อย่างหนูกับน้องชายหากแต่งงานไปลูกของเราสองคนก็ต้องใช้คนละแซ่ แล้วลูกๆ ของพวกเราจะไม่ใช่พี่ไม่ใช่น้องกันอย่างนั้นรึ" อดทอดถอนใจออกมาอีกไม่ได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ หากแต่กฎต้องเป็นกฎ หญิงชรายกฝ่ามือปาดน้ำตาอีกครั้งเมื่อนึกถึงหลานสาวหัวดื้อที่ยังคงยืนกรานแม้จะถูกเฆี่ยนตีอย่างไรก็ตาม...

          "อยู่ไหนก็ช่างมันปะไรล่ะ ให้ไปอยู่สบายแล้วอยากหนีออกมาเอง ดูซิว่ามันจะมีปัญญาไปได้แค่ไหน" ลูกชายของนางยังคงแสดงความกราดเกรี้ยว "อีกอย่าง มันเป็นคนแซ่ลีไปแล้วก็ให้คนแซ่ลีเขาจัดการกันเอง" หญิงชราคงได้แต่ทอดถอนใจขณะฟังลูกชายระบายอารมณ์ไป อดนึกถึงความผิดพลาดที่แกอาจมีส่วนร่วมนั้นไม่ได้... เสียงกรีดร้องขณะถูกคร่าดึงนั้นยังฝังในความรู้สึก แววตาตระหนกกับสายตาอ้อนวอนทีแกได้แต่ยืนมอง รู้ว่ามันคือจารีตประเพณี แต่บางครั้งการฉุดคร่าก็ทำให้แกสะเทือนใจได้เช่นกัน

          "เมื่อไม่มีทางเลือกเราก็ต้องตัดใจให้มันออกเรือน" แกยังคงจำได้วันที่ลูกชายของแกปรึกษากับเมียในตอนนั้น
          "แกจะยอมให้สองคนนั่นแต่งงานกันรึไง" สะใภ้ของแกถามกลับอย่างแปลกใจ
          "ไม่ใช่ ข้าจะให้ลูกเฒ่าซ่งมาฉุดมัน ไอ้เย้งมันต้องการอีเหมยอยู่แล้ว" แกอดตกใจไม่ได้กับคำพูดของลูกชาย
          "อันที่จริงประเพณีฉุดสาวนี่ผู้หญิงต้องเต็มใจด้วยนะ" แกจำได้ว่าค้านออกไปแบบนั้น
          "พ่อมันเต็มใจ ลูกมันจะขัดได้ยังไง" หากลูกชายคงยืนกราน แกรวมถึงทุกคนในบ้านก็คงได้แต่จำยอม

          ภาพหลานสาวต่อสู้ดิ้นรนกับแววตาที่ทำให้รู้สึกผิดได้ทุกทีเมื่อนึกถึง มันเป็นประเพณี และเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องจัดการเรื่องคู่ครองให้ลูกสาว แกได้แต่ปลอบใจตัวเองและปล่อยให้ลูกชายเฒ่าซ่งพาตัวเธอไปในที่สุด หากหลานสาวไปอยู่ที่นั่นไม่นาน ไม่ทันจะได้จัดพิธีแต่งงานด้วยซ้ำ คนบ้านนั้นก็มาแจ้งข่าวว่าหลานสาวของแกหนีออกมา เธอไม่ได้มาที่นี่ ไม่มีใครได้พบเห็นเธออีกเลย

          "ที่ข้าอดห่วงไม่ได้ก็คือเรื่องป่านั่น" หญิงชราพูดพลางแหงนหน้ามองลูกชาย
          "ชาวบ้านมันก็ร่ำลือกันไปอย่างนั้นแหละ" ลูกชายยังคงวางท่าไม่รับรู้สิ่งใด ขณะค่ำคืนหนาวเย็นยังคงคืบคลานไปอย่างช้าๆ หญิงชรารู้ดีว่าแกคงไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างแน่นอน


          "จะว่าที่นี่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากความเจ็บปวดของการถูกกดขี่ข่มแหงก็คงจะไม่ผิดนักหรอก" ร่างนั้นยังส่งเสียงเรียบๆ ขณะหญิงสาวทอดตามองรอบกาย หน้าบ้านแต่ละหลังนั้น หญิงหลายคนต่างทำหน้าที่ของตน บ้างปักผ้า บ้างนั่งจักสานซ่อมแซมเครื่องมือเครื่องใช้ หากแต่ละคนล้วนมีความเรียบเฉยบนใบหน้าซีดเซียวไม่ต่างกัน...

          ใบข้าวโพดส่ายไหวน้อยๆ ตามสายลม หญิงชราห่อตัวกอดอกจากความหนาวเย็น สายตาฝ้าฟางมองเลยทุ่งข้าวโพดออกไปยังพื้นที่ซึ่งถูกปล่อยทิ้งให้เป็นป่า แกเดินฝ่าแถวข้าวโพดแห้งๆ นั้นเข้าไป
          "อาเหมย... อาเหมย..." เสียงแหบแห้งนั้นพยายามเปล่งเรียกหา หากมีเพียงสายลมที่ตอบรับ 'มีคนสงสัยว่าอาเหมยจะไปที่นั่น' คำพูดของเพื่อนบ้านที่บอกอย่างเอาแน่ไม่ได้ทำให้แกต้องบากบั่นเข้ามาในเขตหวงห้าม ป่าลับแลแห่งนี้

          "เจ้าจะไม่อาลัยสถานที่ซึ่งจากมาอย่างนั้นรึ" ร่างนั้นยังคงส่งเสียงไร้ความรู้สึกดุจเดิม
          "ข้าไม่อาจลืมทุกสิ่งได้ง่ายดายหรอก" หญิงสาวก้มหน้าตอบ "หากอยู่ที่นั่นแล้วความเป็นหญิงจะทำให้เราไม่มีสิทธิ์เลือกทางเดิน ไม่มีสิทธิ์ขัดขืนใดใด..."

          'นังแพศยา อย่านึกว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือข้าได้'
          ข้าคงจำได้ไม่ลืม ฝ่ามือกำยำนั่นปิดปากข้าไว้โดยที่ร่างของมันยังคงคร่อมทับเพื่อป้องกันการขัดขืน มันตบตี ทั้งก่นด่าไปสารพัด ฝ่ามือนั้นบีบแน่นขยุ้มเกร็งจนเจ็บทั้งใบหน้า แม้จะพยายามดิ้นรน หากทำได้เพียงบิดตัวไปมา ข้าไม่อาจขัดขืนปราถนาทารุนจากกายกำยำนั้นได้เลย เสื้อผ้าถูกดึงออกจากร่าง เสียงกระแอมไอที่ดังจากมุมห้องนั้นมาจากสภาพอากาศมากกว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้นจะสนใจสิ่งใด ข้ากรีดร้องออกไปเมื่อได้รับอิสระพอที่จะส่งเสียง หากหลายคนที่ขดตัวอยู่อีกมุมก็แค่ดึงผ้าห่มคลุมหัว ปล่อยให้เสียงจากความเจ็ปปวดของข้ากรีดก้องและจางหายไปในความมืดดำของคืนโหดร้ายนั้น...

          "อาเหมย... อาเหมย..." หญิงชรายังคงส่งเสียงแหบแห้งเรียกหา หากมีเพียงสายลมสะบัดกิ่งไม้ไหวตอบรับดุจเดิม หญิงสาวหันมองผู้ชราที่ยังคนเดินวนพลางส่งเสียง เธอคงได้แต่นิ่งมองกระทั่งผู้เฒ่าหันหลังจากไปพร้อมกับแสงตะวันที่เริ่มลับขอบฟ้า


          "ไม่ว่าอย่างไร ป่าลับแลแห่งนี้คือที่พักสุดท้ายของหญิงโชคร้ายทุกคน" ใบหน้าซีดขาวนั้นยังคงส่งเสียงด้วยสีหน้าเรียบเฉยดุจเดิม หญิงสาวหันมองดวงตาขาวขุ่นนั้นด้วยแววตาที่ไม่ต่างกัน.

วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ตุ๊กแกกินตับ กินตับตุ๊กแก



          เมื่อตอนยังเด็กคนเฒ่าคนแก่มักชอบหลอกว่า ระวังดุ๊กแกกินตับ นั่นทำให้เด็ก ๆ อย่างเรายิ่งกลัวตุ๊กแกมากขึ้นนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกของมัน พอโตมาเราก็ได้รู้ว่าตุ๊กแกกินตับเป็นเรื่องโกหก

          แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังคาใจนั่นคือเรื่องที่ว่า งูเขียวกินตับตุ๊กแก คนเฒ่าคนแก่อีกนั่นแหละที่เล่าว่าเมื่อตับตุ๊กแกแก่ ตับจะคับอก ทำให้มันร้องไม่ได้ต้องให้งูเขียวเข้าไปกิน แล้วตับก็จะงอกมาใหม่ ตอนเด็กก็เชื่อนะ แต่พอโตมาก็ได้นึกถึงความเป็นจริงหากงูเขียวจะกินตับตุ๊กแกโดยการเข้าทางปากมันก็ต้องทะลุไส้ออกมาถึงจะกินตับได้ หากเลื้อยไปเรื่อย ๆ ก็จะเข้าสู่กระเพาะและออกมาทางทวาร

          แต่ก็เคยเห็นมานะ แต่เห็นในสภาพที่ทั้งงูและตุ๊กแกต่างถูกรถทับในขณะที่งูมุดเข้าไปอยู่ในท้องตุ๊กแก โดยสภาพที่เห็นนั้นหัวงูทะลุพุงตุ๊กแกออกมาตามแรงกดทับของล้อรถ ได้ถ่ายภาพไว้แต่ไฟล์ภาพได้หายไปหมดแล้ว แต่ก็ยืนยันได้ว่างูเขียวนั้นมุดเข้าไปในท้องตุ๊กแกจริง แต่ว่ามันเข้าไปทำอะไร

          บางคนบอกว่าเป็นเพราะตุ๊กแกจะมีไขมันสะสมไว้ในลำไส้ เมื่อไขมันมากก็จะแน่นอกต้องให้ตุ๊กแกมากิน (เปลี่ยนจากตับเป็นไขมัน)
          แต่บางคนก็บอกว่างูมันไม่ได้จะกินตับ มันจะกินตุ๊กแกทั้งตัวแต่ตุ๊กแกมันสู้ด้วยการกัดงูจึงเหมือนงูเข้าไปในท้อง (ถ้าอย่างนั้นมันคงต้องกลืนด้วยนะ)

          แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็มีนิทานที่เล่ากันมา ลองติดตามกันครับ

          ตุ๊กแกกับงูเขียวเป็นเพื่อนรักกัน ในค่ำคืนหนึ่งที่ทั้งคู่นอนดูดาวบนท้องฟ้า งูเขียวนั้นอยากกินตับตุ๊กแก ก็หาอุบายด้วยการชวนตุ๊กแกนับดวงดาวบนท้องฟ้าว่ามีจำนวนเท่าไหร่  โดยมีเงื่อนไขว่าใครแพ้คือไม่สามารถนับได้จะต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกินตับ...โดยกำหนดนับดวงดาวในค่ำของอีกวันหนึ่ง
          เมื่อถึงเวลาเจ้าตุ๊กแกและงูเขียวก็มาที่จุดนัดพบแล้วเริ่มนับดวงดาวตามที่ตกลงกันไว้ เจ้างูเขียวเจ้าเล่ห์ก็บอกว่าตนจะเสียสละให้ตุ๊กแกนับดวงดาวก่อนโดยเริ่มนับตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเวลาเที่ยงคืน แล้วตนจะนับตั้งแต่หลังเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า ตุ๊กแกตกลง ตุ๊กแกเริ่มนับตั้งแต่หกโมงเย็นไปเรื่อยๆ แรกเริ่มก็ดูดี นับได้ไม่สับสนเพราะดวงดาวยังน้อย พอดึกมากขึ้นดวงดาวก็เริ่มมากเพิ่มขึ้นเรื่อย ก็เริ่มนับสับสน ถึงเที่ยงคืนตามที่กำหนดไม่สามารถให้คำตอบงูเขียวได้
          หลังเที่ยงคืนงูเขียวก็เริ่มนับดวงดาวบนท้องฟ้าไปเรื่อยๆ ยิ่งใกล้สว่างดวงดาวก็หายไปเรื่อยๆ งูเขียวจึงสามารถนับได้จนหมด ตุ๊กแกจึงต้องยอมให้งูเขียวกินตับนับแต่นั้นมา

         ก็เป็นเรื่องที่เล่าสืบทอดกันมาจากคนเฒ่าคนแก่ครับ

เรื่องมหัศจรรย์ในชั้น ป. 1



          หากมีสักครั้งที่เราได้เห็นสิ่งของบางอย่างแล้วอดย้อนคิดถึงคืนวันเก่าๆ ไม่ได้ นั่นอาจเป็นเครื่องหมายบ่งบอกอายุของเรา ยิ่งของสิ่งนั้นมีอายุมากเท่าไรก็ยิ่งจะตอกย้ำอายุของเรามากเท่านั้น แต่ผมว่านี่คือข้อดีของการมีอายุที่จะเรียกว่าแก่ก็ได้ เพราะมันทำให้เราได้ย้อนคืนความทรงจำแสนสุขในวัยเด็ก ซึ่งตอนนั้นเราอาจไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่า มันคือความสุขที่แสนวิเศษและมหัศจรรย์

          มันคือไม้บรรทัด ไม้บรรทัดที่เป็นไม้บรรทัดจริงๆ ผมหมายถึงว่ามันทำมาจากไม้จริงๆ นั่นแหละ แม้จะเป็นไม้เนื้ออ่อนก็ตาม แต่มันก็แข็งแรงกว่าไม้บรรทัดพลาสติกที่เด็กๆ อย่างเราได้ใช้กัน และแม้มันจะโดนมีดเหลาดินสอปาดข้างออกบ้าง หรือโดนกัดโดนแทะบ้าง อย่างไรมันก็ยังทนทานกว่าไม้บรรทัดพวกนั้นอยู่ดี นั่นเป็นเหตุผลที่แม่จะเลือกซื้อไม้บรรทัดแบบนี้ให้ผมใช้ แม้ว่ามันจะแพงกว่าไม้บรรทัดพลาสติกอยู่สักหน่อย

          ตอนนั้นผมอยู่ปอหนึ่ง เป็นเด็กบ้านนอกชนบทติดชายแดนทีเดียว โรงเรียนของเรามีสี่ห้อง พอกับจำนวนชั้นเรียนตามภาคบังคับในขณะนั้น

          "เฮ้ย เอามาดูหน่อยสิวะ" ผมร้องบอกไอ้ชัยหรือเด็กชายวิชัยที่กำลังทำท่าทะลึ่งทะเล้นเอียงคอยั่วกวนตรงหน้า สองมือของมันกำซุกไว้ด้านหลัง มันตัวโตกว่าผม เราเพิ่งรู้จักกันตอนเข้าเรียนเมื่อไม่กี่เดือนนี่เอง บ้านของมันจะอยู่ฅนละหมู่บ้านกับผม หมู่บ้านนั้นไม่มีโรงเรียนไอ้ชัยจึงต้องมาเรียนที่นี่
          "อ่ะ!" มันยื่นมือข้างหนึ่งออกมาก่อนแบออก ว่างเปล่าไม่มีอะไร...
          ฝั่งถนนตรงข้ามโรงเรียนของเราจะมีร้านขายของ ซึ่งเป็นร้านค้าเพียงร้านเดียวในหมู่บ้าน ขนมที่เราชอบซื้อกันนั้นราคาห่อละสลึง ส่วนใหญ่เราจะได้เงินมากินขนมกันวันละบาท นั่นหมายถึงว่าเราซื้อขนมนั่นได้สี่ชิ้นหากไม่อยากกินขนมอื่นอีก ความจริงมันไม่ได้อร่อยสักเท่าไรหรอกขนมที่ว่านั่น ภาพการ์ตูนที่อยู่ใต้กระดาษห่อต่างหากที่เด็กๆ ต้องการ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารูปการ์ตูนเหล่านั้นมาจากหนังการ์ตูนญี่ปุ่นที่ฉายทางทีวี เพราะเราไม่เคยได้ดูทีวีกัน อย่าว่าแต่ทีวีเลย ขนาดไฟฟ้ากว่าจะมีได้ยังต้องรอจนผมเข้าสู่วัยรุ่นนั่นแหละ
          เมื่อเห็นไอ้ชัยข้ามไปซื้อขนมมาผมจึงขอดูภาพการ์ตูนที่มันได้ แต่ไอ้นี่กลับทำท่ายึกยักขึ้นมาเสียอย่างนั้นแทนที่จะให้ดูดีๆ มันกำมือข้างที่แบออกเมื่อสักครู่ซุกหลัง ก่อนยื่นแขนอีกข้างออกมา แล้วแบมือออก
          ไม้บรรทัดในมือผมฟาดลงฝ่ามือว่างเปล่านั้นอย่างแรงก่อนที่มันจะทันรู้ตัว ผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ไอ้ชัยร้องไห้จ้าออกมาทันที คุณครูเดินมาถึงพอดีเช่นกัน ท่านมองหน้าเราสองฅนพลางซักถาม ผมได้แต่นิ่งขณะไอ้ชัยยืนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมรู้ตัวว่าผิดมากเลยที่ทำกับเพื่อนแบบนั้น ต้องถูกตีแน่ ที่สำคัญผมต้องกลายเป็นเด็กเกเรในสายตาคุณครูไปด้วยนี่สิ ทั้งที่ใครๆ รวมถึงคุณครูต่างชมว่าผมเป็นเด็กเรียบร้อยขยันเรียน แต่ผมกลับทำความผิดแบบนั้นไปได้ คุณครูต้องตำหนิและทำโทษผมแน่
          ขณะที่กำลังสับสนและวิตกอยู่นั้นคุณครูก็หันมายิ้มให้ กุมมือผมไว้ก่อนเอ่ยออกมา
          "ไม่เป็นไรนะลูกผู้ชาย ทะเลาะกันแล้วก็คืนดีกันเสีย" ท่านว่าพลางให้เราสองฅนจับมือคืนดีกัน ผมรู้ว่าผมเป็นเด็กที่คุณครูชื่นชม แต่ไม่คิดว่าท่านจะเข้าข้างผมได้ถึงขนาดนี้ นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด คุณครูจับมือไอ้ชัยมาจับมือผม เราจับมือกันเสร็จมันก็ยกมือป้ายน้ำตาอีกครั้ง... ก่อนหันมายิ้ม

          ไม้บรรทัดที่เจอในกล่องขณะเก็บของเตรียมตัวเดินทางช่วงสงกรานต์ทำให้ผมอดคิดถึงอดีต อดคิดถึงบ้านเกิดกับท้องทุ่งกว้างซึ่งเคยได้วิ่งเล่นยิงนกตกปลาเสียไม่ได้ ในความทรงจำเก่าๆ ที่ได้ไล่ควายไถนาถอนกล้าปักดำนั้น ผมมีมันอยู่ด้วยเสมอ ไอ้ชัย เรากลายเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ นับจากวันนั้น นั่นแหละ คือเรื่องมหัศจรรย์ในชั้นปอหนึ่งของผม.

วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

จีบแม่ค้า บ้ารำวง


          "เขาว่าจีบแม่ค้า เขาว่าบ้ารำวง..."
          ขออนุญาตขึ้นต้นด้วยบทเพลง 'แม่ค้าแม่ขาย' ซึ่งเป็นเพลงเก่าๆ ของนักร้องยุคก่อนอย่าง 'กังวาลไพร ลูกเพชร' กันสักหน่อย เพลงนี้ถือเป็นเพลงโปรดแต่ครั้งยังเด็กของผมเลย ไม่ทราบว่ามีใครเกิดทันหรือยังจำกันได้บ้าง หรือจะมีแต่ผมที่แก่แต่ผู้เดียวเสียก็ไม่รู้ ฮ่า

          บทเพลงที่ว่านี้นอกจากเป็นเพลงโปรดของผมแล้วยังถือเป็นบันทึกวิถีชีวิตในอดีตที่เลือนหายไปกับการเวลาด้วยเช่นกันครับ วิถีที่ว่าก็ตรงตามเนื้อเพลงท่อนแรกนั้นเลย 'จีบแม่ค้า บ้ารำวง' นั่นแหละครับ

          มาว่ากันด้วยเรื่องบ้ารำวงกันก่อน เท่าที่ทราบนั้นรำวงพัฒนามาจากรำโทน ซึ่งก็หลายปีดีดักก่อนผู้เขียนจะเกิดกันนานเลยทีเดียว ดังนั้นเรามาว่ากันในยุคสมัยที่ผู้เขียนเกิดทันจะดีกว่า... สมัยที่ผู้เขียนยังเด็กมากๆ นั้นแน่นอนว่าสภาพโดยรอบจะยังคงมีแต่ป่าดง ความเจริญยังอยู่ห่างไกลเต็มที หนังกลางแปลงนานครั้งจะมีเล็ดลอดมาถึงหมู่บ้านของเราสักครา มหรสพสมโภชงานประจำปีของวัดในหมู่บ้านที่ดีที่สุดก็คือรำวง ซึ่งก็จะไม่แตกต่างจากรำวงย้องยุคในปัจจุบันสักเท่าไร จะผิดก็แต่ว่ารำวงย้อนยุคในปัจจุบันนั้นไม่ทราบว่าได้นางรำมาจากยุคไหน แฮ่...

          แม้จะเรียกว่ารำวงแต่ไม่ว่าอย่างไรเวทีรำวงก็มีการเต้นอยู่ร่วมด้วยเสมอ และจังหวะสำหรับการเต้นนั้นก็มีหลากหลายทีเดียว ไม่ว่าจะแบบไทยๆ อย่าง 'ตะลุง' 'ม้าย่อง' หรือจังหวะสากลยอดฮิตอย่าง 'ชะชะช่า' (Cha cha cha) ที่เรานิยมเรียกว่า 'สามช่า' กันนั่นแหละ 'โซล' (Soul) ก็เป็นอีกหนึ่งจังหวะที่ฮิตไม่แพ้สามช่าเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีจังหวะ 'รุมบ้า' (Rumba) บีกิน (Beguine) 'ซานตาน่า' (Santana) และอีกมากมาย ส่วนตรงนี้ไม่ทราบว่าที่อื่นจะมีเหมือนบ้านผมไหมนะ บ้านของผมนั้นนอกจากจังหวะต่างๆ ที่ว่ามาแล้วยังมีอีกหนึ่งจังหวะ นั่นคือ 'ดาวล้อมเดือน' จังหวะนี้จะพิเศษหน่อย ถือว่าเป็นสีสันของงานเลยก็ว่าได้ อย่างหนึ่งก็คือคนที่ได้เต้นจังหวะนี้มักไม่ได้สมัครใจ แต่จะเป็นการบังคับกันกลายๆ มากกว่า จังหวะดาวล้อมเดือนนี้จะเริ่มเล่นได้ก็ต้องมีคนเหมารอบ แต่ไม่ได้เหมาเพื่อเต้นเองแต่อย่างใด หากจะระบุเลยว่าเหมาจังหวะดาวล้อมเดือนให้ฅนนั้นฅนนี้ขึ้นไปเต้น และถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่ผู้ถูกระบุชื่อจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ นอกจากจะยอมเสียค่าปรับ และหากขึ้นไปรำกองเชียร์ก็จะเล่นเพลงรำวงซึ่งมีชื่อว่า 'ดาวล้อมเดือน' ที่มีเนื้องร้องว่า 'ดาวล้อมเดือน เตือนหัวใจเศร้าหมอง...' อะไรประมาณนั้น โดยการรำผู้ที่ขึ้นไปรำจะอยู่ตรงกลาง โดยมีเหล่านางรำซึ่งสวมกระโปรงบานรำเป็นวงล้อมรอบ (เหมือดาวล้อมเดือนจริงๆ ) และเมื่อจบเพลงนางรำก็จะขังฅนที่ถูกล้อมนั้นด้วยการจับมือกันเอาไว้ การจะทำให้ยอมปล่อยตัวลงจากเวทีได้ก็ต้องยอมจ่ายเงินเป็นค่าไถ่ เรียกว่ารำหรือไม่รำก็เสียเงินอยู่ดี ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเลือกที่จะขึ้นไปรำกันมากกว่า เพราะไหนๆ ก็เสียเงินแล้วได้สนุกสักหน่อยก็ยังดี และฅนเหมารอบให้ขึ้นไปรำนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่สนิทกันดีนั่นแหละ จึงไม่มีใครถือสาอะไรนอกจากเฮฮากันไปเท่านั้น

          ส่วนการรำวงโดยทั่วไปสมัยนั้นถือว่ามีความสุภาพกันมากทีเดียว ลูกค้าที่ส่วนใหญ่คือบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายเมื่อยื่นบัตรหน้าบันไดและขึ้นไปบนเวทีแล้ว หมายตาใครไว้ก็ตรงไปโค้งเป็นการขอรำวงหรือขอเต้นด้วย ระหว่างรำหากมีใครขึ้นมาโค้งขอรำแทนฅนที่รำอยู่ก็ต้องเสียสละออกจากเวทีไป ถือเป็นอีกหนึ่งธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแบบนั้นครับ

          มาว่ากันที่จีบแม่ค้าบ้าง เมื่อมีงานมีมหรสพก็ต้องมีแม่ค้านำของมาขายให้กับผู้ที่มาเที่ยวงาน พวกถั่วต้ม อ้อยควั่นประมาณนั้น และน่าจะถือว่าเป็นประเพณีปฏิบัติอีกเหมือนกันที่แม่ค้างานวัดสมัยนั้นจะต้องเป็นสาวโสด ใครมีลูกสาวจะได้เปรียบก็ตรงนี้แหละ ที่ว่าต้องเป็นสาวโสดเพราะว่าสมัยนั้นการจีบแม่ค้าดูจะเป็นอีกหนึ่งธรรมเนียมปฏิบัติเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากเพลง 'แตงเถาตาย' ของ 'ไวพจน์ เพชรสุพรรณ' อีกหนึ่งเพลงที่จะพูดถึงการจีบแม่ค้า ซึ่งหากวิเคราะห์เพลงนี้จะเหมือนมีการตัดพ้อด้วยว่ามีสามีแล้วยังมา (หลอก) เป็นแม่ค้าอะไรแบบนั้น

          และตามเพลงแม่ค้าแม่ขายนี้ก็จะเปรียบเปรยประมาณว่าการจีบแม่ค้ากับการหลงรักนางรำนั้นไม่ต่างกัน เพราะต่างต้องใช้เงินเข้าทุ่ม จีบแม่ค้าก็ต้องหมั่นอุดหนุม บ้ารำวงก็ต้องหมั่นซื้อบัตรซื้อตั๋วขึ้นไปรำ ที่สำคัญทั้งแม่ค้าและนางรำนั้นต่างมีตัวเลือกมากมาย สุดท้ายส่วนใหญ่ก็จึงหมดตัวกันไปฟรีๆ เสียเท่านั้น

          ครับ ที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือวิถีชีวิตส่วนหนึ่งในอดีตที่หลายฅนอาจลืมเลือน และอีกหลายฅนอาจไม่เคยได้รับรู้เท่านั้นครับ.

หางปลาของผม



          ถึงจะเป็นเด็กบ้านนอกบ้านนา แต่ยอมรับเลยว่าผมไม่ใช่เด็กที่จะขยันหากิน ในความหมายคือการออกหาปลาล่าสัตว์อะไรประมาณนั้นสักเท่าไร ยอมรับว่าการออกหาปูปลาหรือออกหากินของผม คือการหาข้ออ้างในการเล่นสนุกเสียมากกว่าที่จะคิดจริงจัง เช่นอยากเล่นน้ำก็จะบอกว่าไปตกปลา หรือเห็นเพื่อนออกหาปลาตามทุ่งนึกสนุกก็ตามเขาไปโดยไม่ได้คิดจริงจังว่าจะต้องได้ปลาอย่างที่บอก จะว่าผมเป็นเด็กที่ดูแย่สุดในกลุ่มเพื่อที่ต่างมีความคล่องในทางหาปลาล่าสัตว์ก็คงจะไม่ผิดนัก...

          ตุ่มน้ำหรือโอ่งน้ำนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้คู่กับบ้านเรือนของเรามาโดยตลอด แต่ตุ่มน้ำในสมัยผมยังเด็กจะเป็นอะไรที่พิเศษสักหน่อย ในสายตาของผมนั้นมันถูกใช้งานไม่ต่างจากป้ายโฆษณาสักเท่าไรเลยทีเดียว โฆษณาซึ่งติดอยู่ข้างโอ่งน้ำที่ว่านั้นก็ไม่ใช่อะไร หากมันคือหางปลาช่อน ใช่แล้วครับ หางปลาช่อนซึ่งถูกแปะไว้ให้แห้งติดโอ่งเพื่อบ่งบอกว่าฅนบ้านนี้ได้กินปลาช่อนตัวโตแค่ไหนกันนั่นแหละ แน่นอนว่าหางปลาช่อนที่จะได้รับการแปะติดโอ่งน้ำของแต่ละบ้านนั้น ต้องเป็นหางปลาซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด เพื่อการโอ้อวดหรือจะเรียกว่าโฆษณาก็ได้ แต่ความจริงคงไม่ถึงขั้นโอ้อวดแบบเอาชนะกันสักเท่าไรหรอก แค่เห็นว่ามันใหญ่ก็อยากแปะไว้ดูเล่นกันเสียมากกว่า แต่นั่นแหละ ถึงอย่างไรก็ทำให้ผม เด็กซึ่งไม่เคยมีหางปลาแปะอยู่บนโอ่งสักหางเหมือนเขา อดที่จะคิดไม่ได้ว่าว่ามันคือการโฆษณา แน่นอน ผมย่อมอยากมีหางปลาติดตุ่มน้ำเหมือนบ้านอื่นๆ บ้างเหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ผมไม่ใช่เด็กขยันหากินอย่างที่บอก แต่ความที่เป็นเด็กบ้านนอกอยู่ทุ่งนาป่าดงแบบนั้นผมก็ต้องมีวันนึกขยันบ้างล่ะน่า แม้จะไม่ค่อยบ่อยนักก็เถอะ

          สมัยก่อนปูปลานั้นจะค่อนข้างชุกชุมอย่างที่รู้กัน โดยเฉพาะในกระทงนา (บ้านผมเรียกกระบิ้ง) ที่อยู่หน้าบ้านผมนั้น จะมีกระทงหนึ่งซึ่งค่อนข้างใหญ่และตรงกลางจะลึกเป็นแอ่งทีเดียว ก่อนที่น้ำจะแห้งจากนาในหน้าแล้งมันจะเป็นแหล่งตีปลักของบรรดดาควายในทุ่งนี้ มันจึงคงขนาดความลึกไว้ได้ตลอด และทำให้มันถูกเรียกว่าอันหนอง นาหนอง หรือกระบิ้งหนองตามภาษาบ้านผม มันเป็นกระทงนาที่ผมจะนึกถึงเป็นอันดับแรกหากนึกสนุกอยากหาปลาขึ้นมา และการธงเบ็ดหรือการปักเบ็ดตอนกลางคืนนั้นจะหาปลาได้มากกว่า ตัวใหญ่กว่าการหาเดินตกกันตอนกลางวัน แต่ความที่ไม่ชอบหากินโดยเฉพาะตอนกลางคืน จึงทำให้หากไม่นึกอยากจริงๆ ผมจะไม่ได้ออกทุ่งออกท่ากับเขาหรอก อีกอย่างคือตอนเป็นเด็กนั้นผมจะกลัวผีมากทีเดียว แต่วันนี้ก็เป็นวันนึกสนุกของผมอย่างที่บอก และบางวันที่นึกสนุกนั้นก็ทำให้ผมไม่นึกกลัวผีไปได้เช่นกัน

          ช่วงนั้นนาได้รับการปักดำจนข้าวแตกกอดีแล้ว ผมเตรียมเหยื่อซึ่งก็คือไส้เดือนไว้ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน ไฟฉายหนึ่งดวงกับเบ็ดอีกยี่สิบกว่าตาและข้องลูกหนึ่งผมก็พร้อมลงทุ่ง เมื่อเด็ดไส้เดือนเกี่ยวเบ็ดปักกับหัวคันนาเรียบร้อยผมก็ดีดน้ำให้เกิดเสียงดังเสียหน่อยเพื่อเป็นการเรียกปลา (ผมจำที่พ่อทำเป็นตัวอย่างได้) แล้วก็เดินไปยังจุดหมายต่อไป ทำซ้ำแบบเดิมไปจนรอบกระทงนานั้น

          ผมเดินได้แค่รอบเดียวหรือแค่ปักเบ็ดหมดตาจริงๆ ในคืนนั้น เมื่อวนมายังเบ็ดตาแรกที่ผมปักไว้ก็ได้ยินเสียงปลาดิ้นตูมตามทีเดียว ต้องเป็นปลาที่โตมากด้วยถึงจะมีเสียงดิ้นขนาดนี้ได้ ผมรีบวิ่งมาที่เบ็ดตานั้นในทันที หากแต่ต้องพบกับความว่างเปล่าเมื่อถึงจุดที่ปักเบ็ด ทุกอย่างเงียบสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเสียงอะไร และไม่มีอะไรเลยแม้แต่คันเบ็ดที่ปักไว้... 

          แม้จะเป็นเด็กที่ไม่เข้าท่าเรื่องหากินสักเท่าไรก็ตาม แต่บางครั้งผมก็มีลูกบ้าเหมือนกันนะ อาจจะด้วยความเสียดายปลาที่ดิ้นพาเบ็ดหลุดไปด้วย ซึ่งผมคิดว่าจะต้องตัวใหญ่มากอย่างแน่นอน หรือไม่ก็อะไรสักอย่างที่ทำให้ผมตัดสินใจลุยน้ำบุกกอข้าวลงไปในนา ผมเดินตรงจากหัวคันนาลึกลงหนอง และไปเหยีบมันเข้าพอดี คันเบ็ดที่ถูกลากมานั่นแหละ รีบยกมันขึ้นมากับความลิงโลดเลยทีเดียว เป็นปลาช่อนซึ่งมีขนาดใหญ่สุดเท่าที่ผมเคยหาได้เสียด้วยติดอยู่ปลายเบ็ด...

          ในที่สุดตุ่มน้ำของผมก็มีหางปลาแห่งความภาคภูมิใจติดอยู่เช่นกัน.

นิทานของพ่อ


          ผมมีความเชื่อว่านิทานคือต้นแบบของความบันเทิงทั้งหลายแหล่ในปัจจุบัน และถ้าหากนิทานคือต้นแบบของความบันเทิงแล้วล่ะก็ บ้านของผมนั้นต้องเรียกได้ว่าเป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนของเด็กสมัยนั้นเลยที่เดียว

          ในสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นนอกจากงานวัดงานโรงเรียนกับงานบุญเข้าพรรษาวันพระอะไรนั่นแล้วก็แทบไม่มีความบันเทิงอื่นสำหรับเด็กๆ อย่างเราอีก ไม่ต้องพูดถึงทีวีเพราะเราไม่รู้จัก นอกจากวิทยุทรานซิสเตอร์เอเอ็มแล้วก็ไม่มีอะไรอื่น นิทานจึงยังคงเป็นที่นิยมเล่านิยมฟังกันในหมู่ลูกหลานบ้านใกล้เรือนเคียง ความที่พ่อของผมชอบเล่านิทาน ผมจึงได้ฟังนิทานมาตั้งแต่ยังเล็ก และนั่นทำให้บ้านของผมกลายเป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำของเด็กในวัยเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันอย่างที่บอก

          ยามค่ำคืนเด็กๆ ในหมู่บ้านซึ่งต่างก็เป็นญาติๆ กันนั่นแหละ จะหอบผ้าห่มหอบหมอนมานอนที่บ้านผมเพื่อฟังนิทานกัน บ้านของผมจึงดูครึกครื้นเสียทุกคืนสมเป็นแหล่งบังเทิงจริงๆ ซึ่งนิทานของพ่อผมก็จะมีหลากหลายแนวมาก มีทั้งนิทานพื้นบ้าน วรรณคดี และทะลึ่งตลกโปกฮาในแบบลูกทุ่งขนานแท้ ว่าไปแล้วนี่ผมว่าลองฟังนิทานของพ่อผมกันสักหน่อยน่าจะดี ฟังกันเลยดีกว่าครับ...


กระต่ายกับหอยโข่ง

          นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่ได้รับวัฒนธรรมมาจากกัมปุเจีย ประเทศเพื่อนบ้านของเรามาลองติดตามกันครับ
          กระต่ายตัวหนึ่ง (พ่อของผมไม่เคยขึ้นต้นด้วยคำว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว) มันภูมิใจในความว่องไวปราดเปรียวของมันมาก วันหนึ่งขณะที่มันอยู่ที่ริมหนองน้ำ มันก็ได้เห็นหอยโข่ง มันหัวเราะเยาะในความอัปลักษ์และความเชื่องช้าของหอยโข่งตัวนั้น ส่วนหอยโข่งเมื่อโดนหัวเราะเยาะก็เกิดความอับอายมันจึงร้องท้าไปว่า
          "เจ้าคิดว่าตัวเจ้าปราดเปรียวว่องไวนักหรือ เรามาลองวิ่งแข่งกันไหม"
          กระต่ายได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะเยาะพลางพูดว่า... "เจ้าน่ะหรือจะวิ่งแข่งกับข้า"
           เจ้าหอยโข่งตอบว่า... "ข้านี่แหละเจ้ากล้าหรือเปล่าล่ะ"
          "กล้าซิว่าแต่เราจะแข่งกันอย่างไรล่ะ" เจ้ากระต่ายถาม หอยโข่งตอบว่า
          "พรุ่งนี้เราจะมาเจอกันที่นี่ และวิ่งแข่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าใครถึงก่อนเป็นผู้ชนะ และผู้ชนะจะขอสิ่งใดก็ได้" เจ้ากระต่ายตอบตกลง
          และคืนนั้นเจ้าหอยโข่งก็เรียกพวกพ้องมาประชุมกันเป็นการด่วน พวกมันวางแผนที่จะสั่งสอนเจ้ากระต่ายจอมโอหัง โดยมันจะให้หอยโข่งหลายตัวทยอยเดินทางล่วงหน้าไปเป็นระยะ และจะมีหอยโข่งตัวหนึ่งไปรอที่ต้นไม้ใหญ่อยู่ก่อนแล้ว และรุ่งเช้ากระต่ายกับหอยโข่งก็มาเจอกันตามที่นัดหมาย และเมื่อออกวิ่งกระต่ายก็นำลิ่ว วิ่งมาสักพักมันก็ร้องเรียกหอยโข่งแต่ทุกครั้งที่มันร้องเรียกก็จะมีเสียงตอบรับมาจากด้านหน้าของมันเสมอ เพราะหอยโข่งตัวที่อยู่เหนือกระต่ายขึ้นไปจะเป็นตัวที่คอยตอบรับนั่นเอง เจ้ากระต่ายรีบเร่งฝีเท้า และเมื่อมันมาถึงต้นไม้ใหญ่ก็เจอหอยโข่งตัวที่รออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว กระต่ายยอมแพ้และทำตามสัญญา หอยโข่งไม่ขออะไรมาก มันขอเพียงได้เลียใบหูของกระต่าย กระต่ายถูกหอยโข่งเลียจนมันมีใบหูที่บางมาจนทุกวันนี้


สี่สหาย

          อีกเรื่องที่มาในแบบลูกทุ่งขนานแท้ หากใครที่ชอบฟังนิทานและได้ฟังนิทานหลากหลายแล้วจะทราบว่าแนวเรื่องแบบนี้มีอยู่ในนิทานของประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว ขแมร์ หรือแม้แต่ในชนเผ่าม้งก็มีเล่าในแบบคล้ายๆ กันนี้ด้วยเช่นกันครับ ฟังกันเลยดีกว่า
          สี่สหายนี้ประกอบไปด้วย นกออก ไก่ เสือ และกระต่าย ทั้งสี่เป็นเพื่อนรักกัน และทั้งหมดได้รับจ้างตากับยายถางไร่ โดยได้ผลัดเวรทำอาหารกันคนละวัน วันแรกเป็นเวรของเสือที่จะต้องอยู่บ้านหาอาหารไว้รอเพื่อน เจ้ากระต่ายอยากรู้ว่าเสือจะทำอะไรให้กิน ก็แกล้งทำเป็นปวดท้องแล้วบอกกับเพื่อว่าจะขอไปถ่ายทุกข์ก่อน แต่จริงๆ แล้วมันมาแอบดูเสือที่บ้านต่างหาก เจ้ากระต่ายเห็นเสือแอบซุ่มจับหมูป่ามาเป็นอาหาร ก็กลับมาหาเพื่อนทั้งสองและบอกว่ามาทายกันดีกว่าว่าเสือจะทำอะไรให้เรากินในมื้อเย็น ใครทายผิดอดกิน ใครทายถูกได้กิน และแน่นอนว่าไม่มีใครทายถูกนอกจากกระต่ายซึ่งตอบว่า แกงหมูป่า
          วันต่อมาก็เป็นเวรของนกออก เจ้ากระต่ายก็แสร้งทำเป็นปวดท้องอย่างเดิมและมาแอบดูนกออกอีก เจ้ากระต่ายเห็นนกออกนั่งจับราวสะพาน และพุ่งลงน้ำจับปลาขึ้นมาทำอาหาร กระต่ายก็กลับมาเล่นทายกับเพื่อนอีก และแน่นอนเจ้ากระต่ายก็เป็นฝ่ายทายถูกว่าแกงปลา และได้กินอาหารแต่ผู้เดียว
          วันที่สามเป็นเวรของไก่ เจ้ากระต่ายก็มาแอบดูอีก เห็นไก่ติดไฟตั้งกระทะใส่น้ำไว้ แล้วขึ้นไปเกาะที่ปากกระทะ ไก่ร้องกระต๊ากๆ พลางออกไข่ใส่ในกระทะ กระต่ายก็กลับมาทายกับเพื่อนอีกเช่นเคย กระต่ายทายว่าวันนี้จะได้กินไข่ต้ม โดยเพื่อนทั้งสองทายผิดเหมือนเดิม
          แล้ววันที่สี่ก็ถึงคราวของกระต่ายที่จะต้องอยู่เฝ้าบ้านเพื่อหาอาหารให้กับเพื่อนทั้งสามบ้าง กระต่ายไม่รู้จะทำอย่างไรจึงลองใช้วิธีของเสือ ไปนั่งซุ่มรอให้หมูป่าผ่านมาแล้วโดดตระครุบตัวไว้ มันโดนหมูป่าสวนกลับแทบเอาชีวิตไม่รอต เจ้ากระต่ายจึงคิดว่าวิธีของนกออกน่าจะดีกว่า มันจึงไปนั่งบนราวสะพาน เมื่อเห็นปลาก็โดดลงน้ำไปหมายจับปลาให้ได้ กระต่ายไม่ได้อะไรนอกจากความเหน็บหนาว มันจึงกลับมาบ้าน ติดไฟตั้งกระทะใส่น้ำ แล้วขึ้นไปนั่งบนปากกระทะ ร้องกระต๊ากๆ พร้อมเบ่งเต็มที่ ได้ผลมีไข่ล่วงลงมาใส่กระทะ แต่มันดูไม่เหมือนไข่เพราะมันจะเป็นก้อนเล็กๆ ดำๆ แต่ถึงอย่างไรเจ้ากระต่ายก็เสร็จสิ้นภาระกิจในการหุงหาอาหารของมัน
          ตกเย็นกระต่ายนอนคลุมโปง เมื่อเพื่อนๆ ถามหาอาหารกระต่ายก็บอกว่าได้เตรียมไว้ให้แล้วแต่ให้หากินกันเองเพราะมันเป็นไข้ ไม่สบาย เมื่อเจ้าเสือซดน้ำต้มดังโฮกเจ้ากระต่ายก็แกล้งครางออกมาว่า
          "เกลอกิน0ี้0ู" เจ้าเสีอถามว่าครางอะไร เจ้ากระต่ายก็บอกว่าปล่าวไม่สบาย แต่พอเจ้าเสือซดน้ำต้มอีก เจ้ากระต่ายก็ครางอีก
          "เกลอกิน0ี้0ู" เจ้าเสือบอกให้กระต่ายหยุดเพราะจะทำให้มันกินอาหารไม่ลง แต่กระต่ายไม่ยอมหยุด จนเจ้าเสือทนไม่ได้โดดตะครุบ แต่กระต่ายหลบทันและออกวิ่งหนีโดยมีเสือวิ่งไล่ตาม
          กระต่ายมาถึงต้นเล็บเหยี่ยว (ไม้กึ่งเถา มีหนาม ผลเล็ก รับประทานได้) ก็นั่งเก็บลูกเล็บเหยี่ยวกิน เมื่อเสือวิ่งมาทันเจ้าเสือแปลกใจจึงถามกระต่ายว่าทำอะไร กระต่ายจึงบอกว่าผลไม้นี้อร่อยมากเลย แต่เสียอย่างเดียวที่มันมีมือเล็ก จึงเก็บกินได้ไม่ถนัด หากว่ามันมีมือใหญ่อย่างเสือจะจับรูดเสียทีเดียวเลย เสือจึงบอกว่ามาให้ข้าทำเอง เมื่อเจ้าเสือจับรูดจึงถูกหนามเล็บเหยี่ยวเกียวเต็มมือทั้งสอง เสือโกรธมากจึงวิ่งไล่กระต่ายออกไปอีก
          เสือวิ่งไล่กระต่ายมาถึงกอไผ่ก็เห็นกระต่ายนั่งฟันเสียงไผ่สีกันอยู่ กระต่ายบอกเสือว่าอย่าเอ็ดไป เพราะตนกำลังฟังดนตรีทิพย์จากสวรรค์อยู่ ให้เสือมาลองฟังดู เสือจึงเข้าไปลองฟัง กระต่ายบอกว่าหากอยากฟังให้ชัดเจนก็ต้องเอาหูเข้าใกล้กอไผ่ให้มาก แล้วกระต่ายก็วิ่งจากไป เจ้าเสือฟังไม่ถนัดจึงเอาใบหูแนบไปกับกอไผ่ เมื่อถูกต้นไผ่หนีบหูจึงรู้ว่าถูกหลอกอีกครั้ง จึงออกวิ่งตามกระต่ายออกไปอีก
          กระต่ายวิ่งหนีเสือจนตกลงไปในบ่อที่มีน้ำแห้งขอด เมื่อเสือตามทันก็หัวเราะชอบใจ เจ้ากระต่ายจึงพูดว่า มัวแต่หัวเราะอยู่นั่นแหละ ไม่รีบมาหลบในบ่อ ฟ้าจะถล่มแล้วยังไม่รู้ตัว เสือแหงนหน้ามองฟ้า เห็นเมฆกำลังลอยตามกระแสลมช่วงหน้าหนาวก็คิดว่าฟ้าจะถล่มจริงดังที่กระต่ายบอก จึงโดดลงไปในบ่อกับกระต่าย
          เมื่ออยู่ในบ่อนานเข้าเจ้าเสือก็ทำท่าจะหลับ กระต่ายก็แกล้งแหย่ 0ระโ0ก เสือ เจ้าเสือบอกว่าไม่เอาคนจะนอน แต่พอเสือจะหลับกระต่ายก็แหย่อีก เสือบอกว่าเดี๋ยวทนไม่ไหวก็จะดีดขึ้นไปให้ฟ้าทับตายซะหรอก กระต่ายก็ยิ่งแกล้งกวนไม่ให้เสือได้นอน จนเสือทนไม่ได้ถีบกระต่ายขึ้นมาจากบ่อ กระต่ายจึงวิ่งจากไปในที่สุด

          แล้วเรื่องทั้งหมดก็จบลงด้วยประการฉะนี้.